George Soros นักเทรดระดับโลก ตอน 2

 George Soros นักเทรดระดับโลก ตอน2

            จากการศึกษากรณีตัวอย่างจาก วิกฤติเงินปอนด์ ('Black Wednesday' ) ทำให้เราได้รู้ว่า George Soros ไม่ได้มาเล่นๆ และไม่ใช่การฟลุคแต่อย่างใด  จอร์จเป็นผู้ที่รู้ลึก รู้จริง เขามีความรู้และเก่งในเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาคมากๆ โดยใช้หลักการหรือแนวความคิดในการเทรด คือ Global Macro Strategy  และยังคิดค้น ทฤษฎี สะท้อนกลับ  “Reflexivity Theory” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เค้าใช้ทำกำไรจากตลาดมาโดยตลอด 

Global Macro Strategy 

            คือ กลยุทธ์มหภาคระดับโลกของกองทุนป้องกันความเสี่ยง  เริ่มจากการคาดการณ์จากมุมมองทางเศรษฐกิจ และการเมืองโดยรวมของประเทศต่างๆ   จากการคาดการณ์เหตุการณ์ขนาดใหญ่แล้วใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบฉวยโอกาส โดยเข้าซื้อแบบอิงตามสกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย และดัชนีหุ้น หรือตราสารทุนโดยมองหาความแข็งแกร่งของสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลหนึ่ง 

The core of Soros’ thinking 

แก่นการคิดหลักของโซรอสมีอยู่ 2 อย่าง ที่เป็น two-way interaction คือ

        1. Cognitive คือ การที่เรา” เข้าใจ” สภาพแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่

        2. Manipulative คือ วิธีการรับมือเพื่อ” เปลี่ยน” สภาพแวดล้อมที่เราเผชิญ

ด้วยแก่นของการคิด 2 อย่างนี้ เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็น Theory of Reflexivity หรือ ทฤษฎีสะท้อนกลับ และยังเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Self-fulfilling prophecy เนื่องจากทฤษฎีของโซรอสเป็นหลักการที่คล้ายกับทฤษฎีของโรเบิร์ต เมอร์ตัน ที่สามารถอธิบายได้ด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์

        พื้นฐานของทฤษฎีสะท้อนกลับ เกิดจากการเชื่อว่าตลาด “ไม่ได้อยู่ในภาวะดุลยภาพ” คือตลาดนั้นมีลักษณะที่ไม่สมดุล เนื่องจาก ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดนั้นมีความเอนเอียง (Bias) และความเข้าใจผิด (Misconceptions) เกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุนในตลาด จนนำไปสู่ Feedback loops หรือการคิดเป็นวงจรย้อนกลับ  หรือคงที่อยู่โดยธรรมชาติของมัน เนื่องจากมีแรงบางอย่างซึ่งส่งผลให้เกิด “การสะท้อนกลับในทางลบ หรือ Negative Feedback” ซึ่งทำให้ราคานั้นวิ่งออกจากจุดสมดุลไปอย่างมาก ซึ่งช่วยบ่งชี้ถึงสภาพที่ไม่เสถียรของสภาวะแวดล้อมในตลาด โดยเมื่อไหร่ที่เขาเชื่อว่าราคาได้เคลื่อนที่ไปถึงจุดสุดยอด(Extreme) ของมันนั้น เขาจะเดิมพันในการวกกลับมาของราคา 

Equilibrium vs. Reflexivity

        แนวคิดเบื้องหลังทฤษฎี Reflexivity เป็บรูปแบบราคาแบบ Parabolic Price Pattern ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าตลาดนั้นจะวิ่งไปสู่จุดสมดุล(Equilibrium)อยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก เพราะเมื่อไหร่ที่มีแรงกระทบจากสภาวะที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจขึ้นนั้น(Destabilizing Force) ภาคธุรกิจ, อุตสาหกรรม, หรือแม้แต่ตลาดทางการเงินต่างๆนั้น ก็จะเกิดการเคลื่อนไหวไปอย่างรุนแรงหนีไปจากจุดสมดุลของมัน ซึ่งในบางครั้งมันก่อให้เกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจขึ้นมา แต่ในบางครั้งมันก็กลับทำให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

เช่น ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Demand และ Supply ตามทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป เมื่อ Demand เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นและผลของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลให้ Demand ปรับลดลงตามกลไกตลาดในอนาคต ในทางกลับกัน เมื่อ Supply ลดลง จะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นและผลของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลให้ Supply ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต

แต่ทฤษฎีสะท้อนกลับบอกว่า การปรับเพิ่มขึ้นของราคานั่นแหละที่เป็นตัวส่งสัญญาณในการเข้าซื้อ และจะส่งผลให้ราคาขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ในทางตรงกันข้าม หากราคาลดลง ก็จะเป็นสัญญาณให้นักลงทุนเกิดการขายมากขึ้น ดังนั้น ราคาจะยังคงปรับตัวลดลงอีก

    มาดูกันต่อว่า โซรอสมีวิธีการนำทฤษฎีสะท้อนกลับ ผ่านแนวคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างไร

ขั้นแรก โซรอสใช้องค์ประกอบ “การทำนาย” ว่าลักษณะทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและค่าเงิน จะเป็นอย่างไรผ่านสื่อต่าง ๆ

ขั้นที่สอง โซรอสใช้องค์ประกอบ “การอธิบาย” จนคนอื่น ๆ ในตลาดเริ่มเกิดความคาดหวังหรือคาดการณ์ทิศทางราคาขึ้น และการคาดการณ์ที่เกิดจากการทำนายในขั้นแรกของโซรอส ส่งผลต่อการกระทำและการตัดสินใจในการลงทุนของพวกเขา

ขั้นสุดท้าย โซรอสใช้องค์ประกอบ “การทดสอบ” เพื่อให้คำนายที่บอกไว้ตั้งแต่แรกเป็นจริง โดยการทุ่มเงินเก็งกำไรอย่างมหาศาลลงมาในตลาด พร้อม ๆ กับสภาวที่เกือบทุกคนคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเช่นเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจของไทยในปี 2540

นั่นหมายความว่า โซรอสไม่เพียงแต่มีความรู้ในด้านเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีความรู้ลึกในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบความคิด (Thinking System) ของมนุษย์อีกด้วย

        หากคุณลองสังเกตุดีดี จะเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่นักเทรดในตำนานระดับโลกประสบความสำเร็จ มักจะมีบางสิ่งที่เหมือนๆกัน นั่นคือ 

1. วินัย - คุณจะสามารถจัดการกับการเทรดได้ในทันทีทันใด เมื่อเกิดการสูญเสียและการจำกัดการสูญเสียให้น้อยลง

2. การควบคุมความเสี่ยง - คุณจะเข้าใจในเรื่องของการจัดการความเสี่ยง โดยมีแบบแผนที่แน่นอนและทำได้จริง

3. ความกล้า - ความกล้าในที่นี้คือ กล้าที่จะแตกต่างจากคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ เกือบตลอดเวลา

4. ไหวพริบ - คุณสามารถมองออกได้ว่าเทรนตลาดเกิดขึ้นอย่างไรจากตรงไหน



สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎 ใน Blockdit ของเรา 

ขอบคุณข้อมูลจากfinnomena.com

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ