ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
ตลาดขาขึ้น-ขั้นที่ 1 - สะสม
ฮา
มิลตัน(Hamilton)
กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลงแต่คน
ใหญ่ยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขาขึ้น
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้นประกอบกับไม่มีข่าวดีทำให้ราคาประเมิน
ของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม
ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่งงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้นและเป็นช่วง
ที่ผู้ทีมีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้นไว้จนกระทั่ง
ราคาดีดกลับ บางครั้งหุ้นมีราคาถูกแต่กลับไม่มีใครต้องการ
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ วอเร็นบัฟเฟตได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974
ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ในระยะแรกของตลาดขาขึ้น ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด
แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น
หลังจากที่ตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา
จะมีแรงขายออกมาเป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด
ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะสำคัญ
หรือไม่ หาไม่มีนัยยะสำคัญ
จุดต่ำสุดของการลงจะยกตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม
สิ่งที่ตามมาคือตลาดตะเริ่มสะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย
หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและหากราคาเคลื่อนที่ขึ้นเหนือจุดสูงสุด
เดิม จะเป็นการยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น
ตลาดขาขึ้น -ขั้นที่ 2 -การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่
ขึ้น
ที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด
และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด
ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆกำลังเริ่มฟื้นตัวมูลค่าหลักทรัพย์จะ
เพิ่มขึ้น รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจึงก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น
ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นข่วงที่สามารถทำกำไรได้ง่ายที่สุด
เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น
ตลาดขาขึ้น -ขึ้นที่ 3 - เกินมูลค่า
ระยะ
ที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป
ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นมาเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน
แต่เหตการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน)
ในขั้นสุดท้ายนี้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด ค่าที่ประเมินสูงเกินไป
และความมั่นใจมีมากจนเกินปกติ
จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนกลับของขั้นที่ 1
ตลาดขาลง - ขั้นที่ 1 - กระจาย
เมื่อ
การสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง
นักลงทุนที่ฉลาดจะไหวตัวทันว่า
ธุระกิจต่างๆในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด
และเริมขายหุ้นออกแต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและพอใจในการซื้อที่ราคาที่สูง
จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง อย่างไรก็ตาม
จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง
คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลงและยังมองตลาดในแง่ดีอยู่
ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย
ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลงนี้จะค่อยข้างรวดเร็วและรุนแรง
ดังเช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญ
นี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม จุดสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม
และหลังจากนั้น หากราคาสามารถทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม
นั่นเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง
ตลาดขาลง - ขั้นที่ 2 - การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
เช่น
เดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2
เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนวโน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย
ประมาณการรายได้และกำไรลดลง หรืออาจขาดทุน เมื่อผลประกอบการแย่ลง
แรงายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดขาลง - ขั้นที่ 3 - สิ้นหวัง
ณ
จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น
ความดาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไปในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย
ความคาดหวังทั้งหมดหายไป มูลค่าที่ประเมินต่ำมาก
แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่องเพราะทุกคนในตลาดพยายามจะถอนตัวออก
เมื่อข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ มุมมองทางเศรษฐกิจตกต่ำ
จึงไม่มีใครต้องการซื้อ
ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ถูกซึมซับแล้ว
เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว
วัฏจักรก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
บทสรุปของทฤษฎีดาว(Dow Theory)
จุด
ประสงค์ของดาวและฮามิลตัน คือ
การหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้มและสามารถจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้
พวกเขารู้ดีว่าตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ของตลาดและการเกิดปฏิกิริยาเกิน
(Overreaction) จริง ทั้งในด้านบวกและด้านลบ
พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การมองหาแนวโน้มในการเคลื่อนไหวไปดามแนวโน้ม
แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งจะสามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงแนวโน้มใหม่ ทฤษฎี
ดาวช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ข้อเท็จจริง
ไม่ใช่ตั้งข้อสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้า
การตั้งข้อสมมติฐานเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับนักลงทุน
เพราะการคาดเดาของตลาดเป็นเรื่องยาก
ฮามิลตันเองยอมรับว่าทฤษฎีดาวนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ในขณะที่ทฤษฎีนี้สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์
ทฤษฎีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแนวทางการวิเคราะห์ของนักลงทุน การ
อ่านเกมส์ตลาดเป็นศาสตร์ที่ได้จากประสบการณ์ตรงจากตลาด
ดังนั้นกฏของฮามิลตันและดาวจึงมีข้อยกเว้นพวกเขามีความเชื่อว่าความสำเร็จ
เกิดจากการศึกษาที่จริงจังและการวิเคราะห์ที่มีทั้งความสำเร็จและความผิด
พลาด ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหลงระเริง ขณเดียวกัน ความผิดพลาด
ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่จะให้บทเรียนที่มีค่า
การวิเคราะห์ทางเทคนคเป็นศิลปะอย่างหนึ่งซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน
เรียนรู้จากความสำเร็จและล้มเหลวด้วยการมองไปข้างหน้า ผม
หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ เพื่อนๆ สามารถประยุกต์
ทฤษฎีดาว (Dow Theory ) เข้ากับวิธีของเทรดของเพื่อนๆได้นะครับ
เพื่อนๆสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับทฤษฎีดาว (Dow
ทฤษฎี ดาว (Dow Theory)เกิดจากการรวบรวมและเรียบเรียงข้อความจากบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ "The wall street journal"
ซึ่ง Charles Henry Dow และเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนชื่อ Edward Jones
เป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมฉบับนั้น เมื่อปี ค.ศ. 1882 Charles Henry Dow
เป็นผู้เขียนบทบรรณาธิการ เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์การเงิน
ที่เมื่อก่อตั้งหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว
ต้องการเขียนรายงานข่าวเศรษฐกิจการเงิน
ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีดัชนีอะไรทั้งสิ้น
ดาวจะรายงานถึงตลาดหุ้นว่าดีหรือเลวอย่างไรขึ้นหรือลงแค่ไหน
ก็เป็นเรื่องยากที่จะสื่อให้ผู้อ่านได้รู้ เขาจึงคิดดัชนีตัวหนึ่งขึ้นมา
โดยใช้ชื่อเขาและหุ้นส่วน เรียกว่าดัชนีดาวโจนส์ โดยใช้หุ้นชั้นนำ
(bluechip) จำนวนหนึ่งมาคำนวณเป็นดัชนีไว้เป็นตัวอ้างอิง
จะได้สื่อกับผู้อ่านได้ว่า วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ขึ้นหรือลงมากน้อยเพียงใด
ปกติ
ดาวเป็นนักวิเคราะห์การเงิน
ซึ่งถ้าเป็นในสมัยนี้ก็ถือว่าเป็นนักวิเคราะห์ที่อิงปัจจัยพื้นฐาน
เขาได้เขียนบทบรรณาธิการอยู่หลายปี
และได้นำตัวเลขดัชนีดาวโจส์มาทำเป็นกราฟเพื่อรายงานให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ
พจน์
และแล้วดาวก็ได้สังเกตการเคลื่อนที่ของดัชนีดาวโจนส์ที่ได้นำเสนอผู้อ่าน
เป็นกราฟ
ว่ามันมีรูปแบบที่แสดงความสำพันธ์ของราคาและปริมาณการซื้อขายกับแกนวันเวลา
ว่ามันมีรูปแบบ(Price Pattern) ที่คาดคะเนแนวโน้มได้
เขาจึงได้เขียนบทวิเคราะห์วิจารณ์หุ้นด้วยกราฟ
จึงนับได้ว่าดาวเป็นบิดาของการวิเคราะห์ทางเทคนิคของฝ่ายตะวันตก
ซึ่งก่อนหน้านี้ในประเทศญี่ปุ่นก็มีผู้ที่ใช้กราฟแท่งเทียน ( Candlestick
Chart) ในการวิเคราะห์ราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรกันแล้ว ต่อ
มาเมื่อดาวเสียชีวิตลง
เพื่อนๆและแฟนประจำคอลัมน์ในของเขาได้ช่วยกันรวบรวมบทบรรณาธิการนั้นขึ้นมา
ใหม่ จนกลายเป็น ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ตาม
ความคิดของดาวนั้น เขามองการขึ้นลงของหุ้นเปรียบเสมือนการขึ้นลงของน้ำทะเล
กล่าวคือ
ช่วงที่น้ำกำลังขึ้นนั้นคลื่นที่ซักเข้าหาฝั่งแต่ละลูกจะถูกขยับสูงกว่าสูง
กว่าคลื่นครั้งก่อนๆ ในทางกลับกัน ช่วงที่น้ำทะเลเริ่มลดลง
ลูกคลื่นที่เข้าหาฝั่งแต่ละลูกจะค่อยๆมีระดับทีี่ลดลง
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นก็มีลักษณะเดียวกับการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำในทะเล
ตอนขาขึ้นระยะทางที่หุ้นวิ่งขึ้นจะสูงกว่าระยะทางที่หุ้นตกลง
แต่ตอนขาลงระยะทางที่หุ้นตกลงจะยาวกว่าจะระยะทางที่หุ้นวิ่งขึ้น
จากแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นลำดับ
เนื่องจากวัฒนธรรมการเผยแพร่ความรู้แบบตะวันตกทำให้เกิดกลุ่มที่มีความเชื่อ
ทางทฤษฎีนี้มากมายจนถึงทุกวันนี้ และมีผู้ที่เชื่อว่าทฤษฎีคลื่น Elliott
Wave ก็เป็นทฤษฎีที่แตกสาขามาจากทฤษฎีดาว(Dow Theory)นั่นเอง เพียงแต่
ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ได้ขยายความละเอียดลึกลงไป
จนผู้ที่ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งและนำความรู้ที่เพียงบางส่วนมาใช้
จะให้เกิดความผิดพลาดได้อย่างมาก
เมื่อ H= High จุดสูงสุด L = Low จุดต่ำสุด Dow ได้แบ่งแนวโน้มราคาหุ้นเป็น 3 ประเภทตามระยะเวลา คือ 1. แนวโน้มใหญ่ ( Primary trend ) ซึ่งเป็นแนวโน้มระยะยาว 2.แนวโน้มรอง (Secondary or Intermediate trend) ซึ่งเป็นแนวโน้มระยะกลาง 3.แนวโน้มย่อย (Minor trend ) ซึ่งเป็นแนวโน้มของราคาระยะสั้นๆ เป็นการเคลื่อนไหวของราคาประจำวัน ทฤษฎีดาว (Dow Theory)ได้กล่าวไว้ว่า
1.แนวโน้มใหญ่ (Primary Trend)
หรือแนวโน้มระยะยาว ปกติจะใช้เวลา 1 ปี หรือ 200 วันขึ้นไปอาจจะยาวนานถึง 4 ปี
Uptrend (แนวโน้มขึ้น )
แนวโน้มลง Down Trend
2.แนวโน้มรอง (Secondary หรือ Intermediate Trend)
เป็น
แนวโน้มระยะกลางที่เบี่ยงเบนจากแนวโน้มใหญ่ใช้เวลาตั้งแต่ 3
สัปดาห์หรือหลายเดือน 25วัน ถึง 200 วัน
แนวโน้มรองนี้รวมตัวกันแล้วก่อนให้เกิดเป็นแนวโน้มใหญ่
อันประกอบด้วยแนวโน้มรองขึ้น และแนวโน้มรองลง
ตอนหุ้นขึ้น แนวโน้มรองจะยาวกว่าแนวโน้มรองลง
ตอนหุ้นขาลง แนวโน้มรองขึ้นจะสั้นกว่าแนวโน้มรองลง
3.แนวโน้มย่อย (Minor Trend)
เป็น
ส่วนหนึ่งของแนวโน้มรอง เป็นการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นรายวัน
แต่ไม่เกิน 3 สัปดาห์ ในหลักวิชาแล้วนักวิเคราะห์ถือว่าไม่มีนัยสำคัญ
มองเพียงเป็นส่วนประกอบของแนวโน้มรองและแนวโน้มใหญ่เท่านั้น
ผม
ขอเสริมนะครับ ในส่วนนี้ ถ้าเรานำทฤษฎีนี้มาใช้กับตลาดฟอเร็ก Forex Market
แนวโน้มใหญ่ที่เราควรจะมองคือ Month week แนวโน้มรองหรือแนวโน้มระยะกลาง
คือ Daily แนวโน้มย่อยคือ ต่ำกว่า 4 H
พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
การ
เคลื่อนไหวของราคาหุ้นทุกๆแนวโน้มจะเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental
factors) และจะปรากฏเป็นจิตวิทยามวลชน (mass
psychology)ที่จะอธิบายแต่ละช่วงของแนวโน้มอันประกอบเป็นแนวโน้มใหญ่
ซึ่งแนวโน้มใหญ่มี สองชนิดคือ แนวโน้มขาลงหรือตลาดกระทิง (bull market)
และแนวโน้มขาลงหรือ ตลาดหมี (bear market ) และแต่ละแนวจำแนกออกเป็น 3 ระยะ
(phase) ดังนี้คือ
ตลาดกระทิง (Bull Market)
1. ระยะสะสมหุ้น (Accumulation Phase)
เมื่อ
ราคาหลักทรัพย์หรือดัชนีบ่งชี้ตกต่ำถึงที่สุด
เกิดเนื่องจากภาวะหุ้นตกต่ำติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
จนมูลค่าซื้อขายน้อยลงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในช่วงนี้หุ้นหลายตัวจึงไม่คึกคักเพราะหาคนขายยากเนื่องจากขายหมดแล้วหรือ
ขาดทุนมาก จึงเก็บไว้เป็นการลงทุนในระยะยาว
ส่วนคนซื้อก็น้อยเพราะเข็ดเขี้ยว
ระยะ
นี้เป้นรอยต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐาน (fundamental factors)
ครั้งสำคัญ สภาวะการณ์ต่างๆไม่ดีไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่อืมครึม
เศรษฐกิจโดยทั่วไปไม่ดี ผลกำไรของบิษัทออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
ช่วงนี้นี่เองที่นักลงทุนมองเห็นการณ์ไกล สายป่านยาว หรือทุนหนา
เริ่มเข้ามาซื้อในลักษณะสะสมหุ้นโดยไม่ซื้อไล่ขึ้น
แต่จะซื้อเมื่อหุ้นปรับตัวลงมาถึงราคาเป้าหมาย (Target Price)
แรงซื้อนี้ทำให้หุ้นขยับขึ้นลงเป็นครั้งคราว
แต่จะไม่ต่ำกว่าราคาที่นักลงทุนจ้องซื้อ
ทุก
ครั้งเมื่อหุ้นตกถึงระดับนี้
เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรืออื่นๆ
จะเลงร้ายถึงขีดสุด
จนเป็นระยะที่นักลงทุนคิดว่าไม่มีอะไรเสียหายมากกว่านี้อีกแล้ว
อย่างมากก็เสียเวลารอคอยเท่านั้น
เป็นโอกาสทองของนักลงทุนที่เห็นการณ์ไกลหรือนักลงทุนหน้าใหม่
จังหวะนี้นับว่าน่าลงทุนที่สุดระยะนี้เป็นระยะสุดท้ายของแนวโน้มใหญ่ขาลง
(Final phase of the bear market)
2.ระยะกักตุนหุ้น (Correction Phase)
ใน
ระยะนี้มูลค่าซื้อขายจะเริ่มเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ราคาหุ้นแต่ละตัวมีแนวโน้มขยับฐานเพิ่มสูงขึ้นทีละนิด ข่าวดีเริ่มมีให้เห็น
เศรษฐกิจทั่้วไปดูดีขึ้น
ผลการดำเนินการของบริษัทได้เรียกร้องความสนใจของนักลงทุน
ส่งผลให้จำนวนนักลงทุนและมูลค่าการซื้อขายสูงมากขึ้นเป็นลำดับ
3. ช่วง "ตื่นทอง (Boom Phase)"
ช่วง
นี้หุ้นแทบทุกตัวจะขยับขึ้นในอัตราที่สูงและติดต่อกันหลายวัน
บางหุ้นขยับขึ้นไปติดเพดาน มูลค่าการซื้อขายจะสูงขึ้นหลายสิบเท่า
จำนวนคนในตลาดสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
เป็นระยะที่ข่าวดีรวมทั้งข่าวลือจะประดังเข้ามาไม่ขาดระยะ ไม่ว่าเศรษฐกิจ
การเงิน การเมือง ผลกำไร ของบริษัทที่คาดว่าเพิ่มขึ้น
จังหวะนี้เองที่บริษัทในตลาดถือโอกาสเพิ่มทุนขนานใหญ๋
นักเก็งกำไรเข้ามามากที่สุด ในขณะที่นักลงทุนระยะยาวและกองทุนเริ่มทยอยออก
เนื่องจากส่วนใหญ่เริ่มมีกำไรในอัตราที่พอใจแล้ว สื่อมวลชนเริ่มลงข่าวออกมา
วิจารณ์ว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน
ในที่สุดช่วงนี้เองที่แนวโน้มเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางลง
ตลาดหมี (Bear Market)
1.ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase)
เป็น
ระยะแรกของตลาดหมี
อันเป็นช่วงที่นักลงทุนรายใหญ่ทำการแจกจ่ายหุ้นที่มีอยู่
เนื่องมาจากเห็นว่าราคาหุ้นขึ้นมากจนเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานจะอำนวยให้
นักลงทุนทั่วไปเริ่มหวั่นไหว
เพราะเห็นว่าราคาขึ้นมาสูงเกินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ก่อนจะเป็นตลาดหมี
(Bear Market)
จะมีสัญญาณเตือนโดยมีการแกว่งตัวระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุดห่างกันมาก
ตอนราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดสูงขึ้นแต่มูลค่าของการซื้อขายกลับลดลง
แสดงว่าไปได้อีกไม่ไกล และถ้าราคาหุ้นต่ำลงในขณะที่ปริมาณการซื้อขายสูงขึ้น
ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีให้พยายามขายลดพอร์ต (port) ลง
2.ระยะขวัญเสีย (Panic Phase)
ระยะ
นี้นักลงทุนรู้สึกว่าตลาดหุ้นจะไปไม่ไหว ข่าวต่างๆเริ่มออกมาทางลบ
ข่าวลืมประเภทไม่ดีเริ่มแพร่หลาย เป็นเหตุให้ราคาหุ้นตกอย่างแรง
คนเล่นหุ้นที่ขายตัดขาดทุน (Cut loss) ไม่ทันก็จะติดหุ้นในราคาที่สูง
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ชอบเก็งกำไรราคาจะตกลงอย่างรวดเร็ว
แม้แต่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีก็ยังตกลงมาเหมือนกัน
เพียงแต่ตกลงมาในอัตราที่ช้ากว่าเท่านั้น
หลังการตกของราคาหุ้นครั้งใหญ่อาจมีการดีดตัวขึ้นของราคาหุ้น
แต่เป็นการปรับตัวขึ้นชั่วคราว (Rebound) ช่วงนี้ห้ามเข้าไปซื้อเด็ดขาด
ถ้ายังไม่อยากขาดทุนหนัก
3.ระยะรวบรวมกำลัง (Consolidation Phase)
ขณะ
ที่หุ้นมีราคาต่ำมาก อาจจะต่ำกว่ามูลค่าสุทธิตามบัญชี (book value)
หรือราคาพาร์ ทำให้กองทุนต่างๆเริ่มเก็บหุ้น
แม้ว่าสภาวะทั่วไปยังไม่ดีขึ้นก็ตาม
แต่นักลงทุนก็จะไม่ยินดียินร้ายกับข่าวลืมหรือข่าวจริง
ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่าความเป็นจริง
ระยะที่สามของแนวโน้มใหญ่ขาลงนี้คาบเกี่ยวกับระยะแรกของแนวโน้มขาใหญ่ขึ้น
(accumulation)ซึ่งเกิดการประลองกำลังกันของความกล้าและความกลัวในใจของตัว
เอง เพราะระยะนี้ถ้าไม่สังเกตอย่าใกล้ชิด จะวิเคราะห์ยากมากจนดูแทบไม่ออก
ใน
การเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับผู้เริ่มต้นนั้น
แนะนำว่าให้หัดมองภาพรวมของตลาดก่อนว่ามีทิศทางใด โดยใช้หลักการของทฤฤฎีดาว
(Dow Theory) และพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม ควบคู่ไปกับการใช้
Indicators เพื่อเป็นจุดชี้วัด ยืนยันสัญญาณในการเทรด Indicators ที่แนะนำ
คือ Relativa Strength Index (RSI) , MACD , Moving Average (MA) ครับ
ผมหวังว่าบทความเรื่องทฤษฎีดาว (Dow Theory) คงจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ นะครับ เพื่อนๆสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับ ทฤษฎีดาว(Dow Theory) ในหมวดหมูของบทความหัวข้อ Credit:www.9professionaltrader.blogspot.com
ทฤษฎีดาว(Dow Theory) ตอนที่ 1 | Forex Trading Blog สอนเทรด Forex - แหล่งศึกษาข้อมูล Forex และสอน Trade Forex แบบมืออาชีพ Under Creative Commons License: Attribution
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น