กลยุทธ์เทรดหุ้น ตามสไตล์ Wyckoff

กฎของ Wycoff 
Low 3 ข้อ ของ Richard Wyckoff ซึ่งสำคัญต่อพวกเรามาก ได้แก่
1 Law of supply and demand
2 Law of cause and effect
3 Law of effort & result
1. กฏแห่ง supply and demand มีใจความว่า
เมื่อสรรพสิ่งใด มีจำนวนมากเกินไป
ราคาจะลดลง เพื่อทำให้เกิดการดูดซับจำนวนนั้นให้หมดไป
เมื่อสรรพสิ่งใด เกิดการขาดแคลน
ราคาจะเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้จำนวนที่เพิ่มขึ้นนมามากเพียงพอ
หมายความว่า
เมื่อใดหุ้นเกิดขาดแคลน
ราคาจะขึ้นไปที่จุดที่ ทำให้ ความต้องการนั้นหมดไป
เมื่อใดที่หุ้นเกินความต้องการ จะทำให้ราคาลดลงมาจนทำให้เกิด ความต้องการมาดูดซับจนหมดไป
2. กฏแห่งเหตุและผล มีใจความว่า
การจะเกิดผลที่เพียงพอ ย่อมเกิดจากการปล่อยให้เหตุเกิดอย่างเพียงพอ
การที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปสูงมากๆได้ ต้องอาศัยเวลาในการ สะสมหุ้นอย่างเพียงพอ
ถ้าการสะสมมีมาก ราคาจะขึ้นไปได้มาก
3. กฏแห่งความพยายามต่อผลที่ได้รับ มีใจความว่า
ถ้ามีความพยายามเกิดขึ้น ผลที่ได้รับ จะเกิดเป็นอัตราส่วนที่พอดีกับความพยายาม
ถ้าผลที่ได้รับ เกิดไม่พอดี จะปรากฏเหตุการที่ตรงข้าม
เช่น
ถ้ามีการเทรดหุ้นในปริมาณมาก แต่ราคาขึ้นไปน้อย แสดงว่า อีกไม่นาน ราคาจะลง
ถ้ามีการเทรดหุ้นในปริมาณน้อย แต่ราคาขึ้นไปมาก แสดงว่า อีกไม่นาน ราคาจะขึ้น
จบภาคหลักการ
ที่เหลือจะเป็นการประยุกต์

นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม หรือ ที่เรียกว่า Trend Following นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเข้าไปเทรดได้ จำเป็นที่ต้องรอโอกาสเหมาะๆ หรือ รอให้เกิดแนวโน้มก่อนเสมอ มิใช่เข้าไปเทรดสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะ จะทำให้ขาดทุนได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าหากเราสามารถเรียนรู้ธรรมชาติหรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของตลาด เพื่อจะได้รู้ว่าจังหวะไหน โอกาสไหน เป็นจังหวะที่ Trend Follower อย่างเราเหมาะสมที่จะเข้าไปทำกำไรในตลาดนั้น
บทความนี้จะกล่าวถึง ธรรมชาติของตลาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า พร้อมกับ จังหวะและโอกาส ที่เทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มนั้นไว้ใช้หาจังหวะเข้าซื้อ จะมีกี่จังหวะ และ โอกาสไหนบ้าง ตามไปดูกันครับ

Wyckoff Market and Stock Analysis (Guildline)


Richard D. Wyckoff เป็นนักลงทุนที่ใช้ Technical Analysis ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว และยุคเดียวกับนักเก็งกำไรระดับโลกอย่าง Jesse Livermore และเจ้าของทฤษฎีดาวที่เราใช้กันทุกวันนี้อย่าง Charles H. Dow แนวคิดของ Wyckoff พอจะสรุปได้หลักๆ ด้วยกัน ข้อดังนี้

1.การระบุแนวโน้ม (Trend identification) : การระบุแนวโน้มตามหลักการของ Richard D. Wyckoffนั้นจะเหมือนกันกับ Dow Theory คือ มี ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม (accumulation), ระยะขาขึ้นครั้งใหญ่(Uptrend Big move), ระยะแจกจ่าย (Distribution), ระยะขาลงครั้งใหญ่ (Downtrend Big move) และจะเกิดระยะสะสม (accumulation) อีกครั้งหนึ่ง ศึกษาเพิ่มเติมใน ทฤษฎีดาว

      a. แนวโน้มขาขึ้นนั้น จะสังเกตได้จาก จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด นั้นสูงขึ้นตลอด 
      b. แนวโน้มขาลงนั้น จะสังเกตได้จาก จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด นั้นต่ำลงเรื่อยๆ
      c. ภาวะไร้แนวโน้ม จะสังเกตได้จาก ทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด จะสูงขึ้น ต่ำลง หรือเท่ากัน ก็ได้

2.รูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) : Wyckoff ได้บันทึกว่า การสร้างจุดสูงสุดกับจุดสูงสุดของตลาดนั้น จะแตกต่างกัน กล่าวคือ การเกิดจุดสูงสุดของตลาดจะใช้เวลาที่ยาวนาน ในขณะที่จุดต่ำสุดนั้นจะเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงกว่า (สังเกตจากภาพ) ถึงแม้เขาจะบันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังคงพบเห็บได้อยู่ในปัจจุบัน 



3.ตำแหน่งของแนวโน้ม (Trend Position) : Wyckoff กล่าวว่า หากเรารู้ตำแหน่งที่ถูกต้องของแนวโน้มก็เท่ากับว่าเรามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ข้อนี้เป็นการอธิบายรูปแบบของแนวโน้มที่เกิดขึ้นเพื่อทำการระบุตำแหน่งของตลาดและประยุกต์ในการหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นได้ ซึ่งมีดังนี้

Uptrend


Wyckoff  กล่าวว่า หากนักลงทุนใช้กลยุทธ์แบบเทรดไปตามแนวโน้ม (Trend Following) นั้นจะมีโอกาสเข้าซื้อได้ 5 ครั้งในแนวโน้มขาขึ้น ได้แก่

1.Spring ช่วงนี้จะเป็นจังหวะเข้าของนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยง เพราะ อาจไม่แน่ว่า ณ จุดนี้จะทำให้เปลี่ยนเป็น แนวโน้มขาขึ้น โดย จุด Spring นั้นจะสังเกตได้จากราคาเกิด Selling Peak จนหลุดแนวรับ พร้อมกับ Volume จะสูงมาก และจะสังเกตว่า แท่งเทียนเป็นแท่งเขียว (ปิดสูงกว่าราคาเปิด)

2.Breakout ช่วงนี้เป็นช่วงที่ Trend Follower เริ่มเข้า สังเกตได้จากราคาทะลุแนวต้านในระยะAccumulation พร้อมกับ Volume ที่สูงขึ้น (ซึ่ง Wyckoff นั้นจะค่อนข้างสนใจ Volume เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า มีแรงซื้อและความสนใจมุ่งมาที่หุ้นดังกล่าว)

3.Pullback ช่วงนี้ราคาจะย่อกลับมาบริเวณแนวรับ (ที่เคยเป็นแนวต้าน) แต่จะไม่ทำ New Low 

4.Re- Accumulation ช่วงนี้เป็นช่วงพักตัวของการขึ้นมาสักระยะ สังเกตได้จากราคาจะวิ่ง Sidewayแต่จะไม่หลุดแนวรับ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่เข้าเก็บได้ หรือ ถ้าให้แน่ใจอาจเก็บบริเวณ Breakout อีกครั้งหนึ่ง

5.Pullback หลังจากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้วย่อลงมาไม่หลุดแนวรับ จะเป็นจังหวะเข้าซื้อได้อีกครั้งหนึ่งเช่นกั



หมายเหตุุ : สำหรับ Downtrend นั้นก็ให้ทำตรงกันข้ามกับ Uptrend ซึ่งมีรูปแบบดังนี้




หลักการเลือกหุ้นของ Wyckoff

เขากล่าวว่าควรเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาด และให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่อ่อนแอกว่าตลาด ซึ่งหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดนั้นสังเกตได้ง่ายๆ ข้อ ดังนี้

1. หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดจะขึ้น และ จะมีความชันมากกว่า ดัชนีของตลาด
2. หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดจะวิ่งขึ้น ในขณะที่ตลาดเป็น Sideway
3. หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดจะ sideway ในขณะที่ตลาดเป็นขาลง

จะเห็นว่าหากใช้หลักการเลือกหุ้นของ Wyckoff นี้แทบจะไม่ต้องดูปัจจัยพื้นฐานเลย เพราะ กราฟที่แสดงตัวหุ้นนั้น ได้บอกกับเราแล้วว่าหุ้นตัวไหนอยู่ตำแหน่งไหนในแนวโน้มและแข็งแกร่งกว่าตลาดหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เราคัดกรองหุ้นและหาจังหวะเข้าลงทุนได้ง่ายขึ้นด้วย โดยหลักการของ Wyckoff นั้นถึงแม้จะมีขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้วแต่ก็ยังใช้ได้กับในปัจจุบันอยู่ เพราะ ไม่ว่ายุคไหนๆ ตลาดหุ้นก็ยังขับเคลื่อนด้วยความโลภ และ ความกลัวเหมือนเดิม 

หมายเหตุ 
หลักการของ Wyckoff นั้นเหมาะที่จะใช้เป็นแนวทางหรือกรอบการลงทุนเพื่อให้รู้เท่าทันพฤติกรรมและธรรมชาติของตลาด แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นเราจะต้องอยู่กับความเป็นจริงและแน่นอนความเป็นจริงจะไม่เหมือนกับในทฤษฎีอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นเราต้องรู้จักเรียนรู้ และพลิกแพลงให้เป็นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างผลตอบแทนให้กับตนเอง 

Credit: Investmentory

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ