6 เครื่องมือสำหรับอ่าน Trend ในตลาด Forex


มีเทรดเดอร์หลายคนมาถามผมว่า
ถ้าวิธีการอ่าน Trend ที่ใช้อยู่ไม่ค่อยถนัด

มีวิธีอ่าน Trend แบบอื่นให้ใช้ไหม ?
ตอบ มีครับ !!

กลยุทธ์แบบ Price Action สามารถใช้ indicator ประกอบด้วยได้ไหม ? 
ตอบ ได้ครับ !!

วันนี้ผมจะมาตอบคำถามทั้ง 2 คำถามที่หลายคนสงสัยกันครับ
พร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยครับ !!


เทคนิคการเทรดแบบ Price Action เป็นวิธีการเทรดที่ใช้พฤติกรรมราคาในตลาด โดยดูผ่านกราฟแท่งเทียน เพื่อหาจุดเข้าเทรด ผมขอบอกว่า การเทรดด้วยวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะแท่งเทียนเปล่า ๆ ครับ หากเราไม่ถนัด จุดประสงค์ของวิธีนี้ ก็คือ ลดความสับสน ความซับซ้อนในการเทรด
ถ้าเราจะเพิ่ม indicator ลงไปก็สามารถทำได้ แต่ประเด็นคือ มันต้องไม่ไปเพิ่มความสับสน และความซับซ้อนในการเทรดให้กับเรา เพราะยิ่งเราเพิ่ม indicator ไปมากเท่าไร ตัวแปรก็จะยิ่งมากเท่านั้น ทำให้ตัวเรา สับสน และเกิดการคิดมากไป (Over-analysis) ครับ บางครั้ง indicator ตัวนึงบอกอย่าง อีกตัวบอกอย่าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราตัดสินใจเทรดได้ยาก
วิธีที่ผมมักจะแนะนำเทรดเดอร์ เพื่อแก้ปัญหานี้ ก็คือ เริ่มจากอ่านกราฟเปล่า ๆ ให้ได้ก่อน แล้วค่อยเพิ่ม indicator ที่คิดว่าจำเป็นที่สุดลงไปในกราฟ วิธีนี้จะช่วยให้เราอ่านตลาดได้ดีขึ้น ไม่เกิดการอาการคิดเยอะ คิดมาก ขึ้นครับ
สำหรับการอ่าน Trend ในตลาด Forex นั้น มีด้วยกันหลายวิธี ในบทความนี้ผมตั้งใจสรุปวิธีการอ่าน Trend ที่เทรดเดอร์นิยมใช้มาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ ซึ่งมีด้วยกัน 6 วิธี อ่านจบแล้วสนใจวิธีไหน ลองเอาไปต่อยอด หรือเอาไปทดลองใช้กันได้เลยครับ
ก่อนจะไปพบกับ 6 เครื่องมือสำหรับอ่าน Trend ในตลาด Forex ถ้าคุณเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ Share บทความนี้ ให้กับเพื่อน ๆ ของคุณอ่านด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 
Remember, Trend is Your Friend !

เครื่องมือที่ 1 : อ่าน Trend ด้วย Price Action

  • เทคนิคอ่าน Trend ด้วย Price Action เป็นวิธีที่ดูง่ายที่สุดและมีมานานที่สุด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ เทคนิคนี้เป็นเทคนิคอ่าน Trend ที่ใช้แต่กราฟแท่งเทียนเปล่า ๆ เท่านั้น
  • วิธีการอ่าน Trend ด้วยเทคนิคนี้ ก็คือ อ่านการเคลื่อนไหวของราคาผ่าน Slope และ Swing High – Swing Low
  • ถ้า Slope เป็น + คือ กราฟชันขึ้น เราจะตีความว่าขณะนั้นทิศของราคาเป็นขาขึ้น และ ถ้าจะอ่านให้ละเอียดลงไป เราจะอ่านจุดที่เกิด Swing High – Swing Low ถ้าราคาทำ Pattern Higher High – Higher Low (ยก Low ยก High) แปลว่า ราคากำลังอยู่ในขาขึ้นเช่นกัน
  • สำหรับการอ่าน Trend ขาลง ผมขอไม่เขียนนะครับ เพราะ เหมือนกันกับการอ่าน Trend ขาขึ้น แต่กลับทิศกันเท่านั้น
  • เทคนิคนี้เป็นเทคนิคอ่าน Trend ที่ผมใช้เป็นหลัก และผมแนะนำว่า Price Action Trader ควรจะใช้วิธีนี้ให้เป็นครับ
  • สำหรับ Price Action Trader ที่อยากรู้วิธีอ่าน Trend ด้วยเครื่องมือนี้แบบละเอียด ผมอธิบายไว้ในบทความ 3 เคล็ดลับอ่าน Trend ให้แม่นด้วย Price Action ครับ
  • ตัวอย่างการอ่าน Trend ด้วยเทคนิค Price Action


  • จากตัวอย่างข้างบน ภาพแรก คือ Trend ขาขึ้น จะเห็นว่าราคาเกิด Pattern HH – HL (ยก  Low ยก High) และ เมื่อมองจากซ้ายไปขวา Slope จะเป็น +
  • ภาพที่สอง คือ Trend ขาลง เกิด Pattern ตรงข้ามกับขาขึ้น คือ LH – LL (Low – High ต่ำลง) และ เมื่อมองจากซ้ายไปขวา Slope จะติด –

เครื่องมือที่ 2 : อ่าน Trend ด้วย Trend Line 

  • เทคนิคการอ่าน Trend ด้วย Trend Line/Channel Line นั้นจะคล้ายกับเทคนิคการอ่าน Trend ด้วย Price Action คือ จะดู Slope เป็นหลัก จากนั้นจะนำเส้น Trend Line มาลากในกราฟ
  • ข้อดีของเทคนิค ก็คือ เส้น Trend Line จะทำหน้าที่เป็น แนวรับ-แนวต้าน ไปด้วย ทำให้มองเห็นจุดอ้างอิงในการเทรดได้ทันที
  • แต่ข้อเสียของเทคนิคนี้ ก็คือ ความยากในการลากเส้น Trend Line ให้ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ทักษะที่มาจากการฝึกฝนของผู้ใช้ และการตีความกราฟที่ได้ เนื่องจาก ในตลาดจริงเราสามารถลาก Trend Line ได้หลายเส้น
  • หลักการลากเส้น Trend Line คือ มองหาจุด 2 จุดแล้วลากเส้นเชื่อมต่อกัน โดย 2 จุดนั้น คือ จุด Swing High – Swing Low เมื่อลากแล้ว เส้น Trend Line จะทำหน้าที่เสมือนเป็นแนวรับ-แนวต้าน
  • เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาดูตัวอย่างกันครับ



  • จากตัวอย่างในรูปข้างบน ภาพแรก เป็นการลากเส้น Trend Line ในแนวโน้มขาขึ้น เส้น Trend Line ที่ลากจะทำหน้าที่เสมือนเป็นแนวรับ
  • ภาพที่สอง เป็นการลากเส้น Trend Line ในแนวโน้มขาลง โดยลากทั้งแนวรับ-แนวต้าน จะเห็นว่าการลากเส้น Trend Line ทำให้เกิดรูปร่างได้หลายแบบ เช่น รูปแบบคู่ขนาน (Parallel หรือ Channel), รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle), รูปแบบธง (Flag) รูปแบบราคา (Price Pattern) เหล่านี้เกิดจากการลาก Trend Line ในแบบต่าง ๆ จะเห็นว่าต้องใช้ความชำนาญในการตีความด้วย
  • รูปแบบราคาเหล่านี้ มักเป็นรูปแบบที่บอกการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่อเนื่อง (Continuation Movement) ที่เกิดจากการพักตัว
  • สำหรับ Price Action Trader เราจะไม่นิยมใช้ Trend Line ในการอ่าน Trend เพราะ จะทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย (ตัวผมก็ไม่ใช้เช่นกันครับ)

เครื่องมือที่ 3 : อ่าน Trend ด้วย Single Moving Average

  • เทคนิคนี้เป็นการนำ indicator Moving Average (MA) เข้ามาช่วยในการอ่าน Trend แต่เป็นการใช้เพียงเส้นเดียว
  • วิธีการอ่าน Trend ด้วย เทคนิคนี้ไม่ยากครับ อย่างแรก ดู Slope ของเส้น MA ถ้า Slope เป็น + เราจะตีความว่า ในขณะนั้นราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ต่อมาเราจะดูตำแหน่งของราคา ถ้าราคาอยู่เหนือเส้น MA ก็จะตีความได้ว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเช่นกัน (วิธีการอ่านแนวโน้มขาลง ทำแบบเดียวกับแนวโน้มขาขึ้น แต่แค่อ่านกลับทิศกันเท่านั้น)
  • ข้อดีของเทคนิคนี้ก็คือ อ่านง่าย ให้ความชัดเจน เพราะ มีเส้นคอยกำกับ และข้อดีอีกข้อ ก็คือ เส้น MA สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน ได้ด้วย (คล้าย ๆ กับเส้น Trend Line)
  • แต่ข้อเสียของเทคนิคก็คือ เส้น MA นั้นมีหลายแบบ และมีหลายตัวแปรมาก ตรงนี้อาจจะทำให้เทรดเดอร์สับสน เพราะ เส้นแต่ละเส้นจะให้ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงต่างกัน (ให้ค่าต่างกัน) เพราะ สูตรที่ใช้คำนวณต่างกัน

  • จากรูปข้างบน เป็นตัวอย่างการอ่าน Trend ด้วย Moving Average โดยเส้นที่ผมเอามาแสดงให้ดูเป็นเส้น Exponential Moving Average 20 วัน หรือ EMA 20

เครื่องมือที่ 4 : อ่าน Trend ด้วย Double Moving Average

  • เทคนิคการอ่าน Trend ด้วย Double Moving Average เป็นการต่อยอดมาจาก Single Moving Average ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเพิ่ม indicator Moving Average ลงไปอีก 1 เส้น โดยทั้ง 2 เส้น ต้องมีเส้นช้ากับเส้นเร็ว (ระยะเวลาต่างกัน)
  • วิธีการอ่าน Trend ด้วยเทคนิคนี้ คือ ดูการตัดกันของเส้นช้ากับเส้นเร็ว
  • ข้อดีของเทคนิคนี้ คือ การใช้ EMA 2 เส้น จะทำให้เราเห็น Trend ชัดเจน และ MA ทั้ง 2 เส้น จะทำหน้าที่เป็น Zone แนวรับ-แนวต้าน (Zone แนวรับ-แนวต้าน คือ พื้นที่ที่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้านได้) ในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง การใช้ MA 2 เส้น จะมีข้อดีในการสร้าง Zone แนวรับ-แนวต้าน เพื่อลดการ Breakout หลอก ๆ ของราคา
  • ข้อเสียของเทคนิคนี้จะเหมือนกับการใช้ Single Moving Average

เครื่องมือที่ 5 : อ่าน Trend ด้วย ADX indicator

  • ADX ย่อมาจาก Average Directional Index เป็น indicator ที่เทรดเดอร์นิยมใช้ในการบอก Trend ตัวหนึ่ง indicator ตัวนี้ จะมีด้วยกัน 3 เส้น ได้แก่ เส้น +DI แสดงความเป็นกระทิง (Bullish) เส้น -DI แสดงความเป็นหมี (Bearish) และเส้นบอกความแข็งแกร่งของ Trend (Strength index) ในกรณีเราจะพิจารณาเฉพาะเส้น +DI และ -DI ครับ
  • เทคนิคการใช้ ADX อ่าน Trend เราจะดูที่เส้น +DI และ -DI เป็นหลัก ทำได้โดย
  • ถ้าเส้น +DI อยู่เหนือเส้น -DI แปลว่าขณะนั้นราคาอยู่ใน Trend ขาขึ้น
  • ถ้าเส้น +DI อยู่ใต้เส้น -DI แปลว่าขณะนั้นราคาอยู่ใน Trend ขาลง
  • เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ดูรูปตัวอย่างด้านล่างได้เลยครับ

 สำหรับ Price Action Trader เราจะไม่นิยมใช้ ADX ในการอ่าน Trend (ผมก็ไม่ได้ใช้ตัวนี้เช่นกัน) จะนิยมในเทรดเดอร์ที่ใช้ indicator ในการให้สัญญาณเทรดมากกว่าครับ แต่ก็ถือว่าเป็น 1 วิธีในการอ่าน Trend เช่นกัน

เครื่องมือที่ 6 : อ่าน Trend ด้วย MACD

  • MACD เป็น indicator สำหรับอ่าน Trend ยอดฮิต ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้จัก
  • ค่ามาตรฐานของ MACD เป็นการต่อยอดมากจาก Moving Average โดยเกิดจากการนำสัญญาณของ EMA 12 และ EMA 26 มาสร้างเส้น MACD จากนั้นทำการเฉลี่ยเส้น MACD Line อีกครั้งหนึ่ง เราจะได้เส้น MACD Signal แต่ในที่นี้เราจะพูดเฉพาะ MACD Line เท่านั้นครับ
  • การอ่าน Trend ด้วย MACD ทำได้ดังนี้
  • ถ้า MACD Line อยู่เหนือเส้น 0 แปลว่า ขณะนั้นราคาอยู่ใน Trend ขาขึ้น
  • ถ้า MACD Line อยู่ใต้เส้น 0 แปลว่า ขณะนั้นราคาอยู่ใน Trend ขาลง
  • ข้อดีของ MACD คือ สามารถให้ Signal ในการเทรดได้ ในตัวเอง และ ใช้บอกการเกิด Divergence ที่มีความแม่นยำสูงอีกด้วย
  • ใครที่สนใจเรื่อง Divergence ผมแนะนำบทความ 4 วิธีเทรด Divergence ให้แม่นสุด ๆ ครับ

  • ในโปรแกรม MT4 MACD Line จะแสดงผลเป็นกราฟแท่ง (Histogram) ซึ่งวิธีการดูไม่ต่างกันครับ จุดหลัก ๆ คือ การดูว่า Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น 0 (เส้นสีดำในรูป) หรือไม่ ถ้าต่ำกว่า ก็ตีความว่าเป็นขาลง ถ้าเหนือกว่า ก็ตีความว่าเป็นขาขึ้น
สรุป  ทั้ง 6 วิธีเป็นเทคนิคที่ใช้สำหรับอ่าน Trend ทั้งหมด สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับทุกท่านก็คือ ให้เลือกใช้วิธีที่ถนัดเพียง 1 วิธีเท่านั้น เพราะ หากคุณเพิ่ม indicator ที่ทำหน้าที่เดียวกัน มาไว้ในกราฟ คุณจะสับสน และที่สำคัญความสามารถในการอ่าน Trend ของคุณก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นครับ แต่ละวิธีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน มีความช้า ความเร็ว ในการบอกสัญญาณที่แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าเราถนัดแบบไหนให้ใช้แบบนั้น (และใช้เพียงตัวเดียว) ไม่จำเป็นต้องบอกว่าตัวไหนดีกว่าตัวไหน แต่ต้องบอกให้ได้ว่า เราถนัดตัวไหนครับ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากฝากทุกท่านที่ติดตามกัน โดยเฉพาะกับ Price Action Trader อย่างเรา ๆ ที่เน้นเทรดด้วยกราฟแท่งเทียนเปล่า ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องคำนึงถึงข้อนี้ครับ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านที่

ขอบคุณบทความดีๆจาก

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ