5 เหตุผลที่ลงทุนหุ้นเทคนิคมาตั้งนาน แต่ทำกำไรไม่ได้สักที


แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพราะผมได้พบกับนักลงทุนจำนวนมากที่พยายามเรียนรู้การซื้อขายหุ้นด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ประสบปัญหาไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถซื้อขายหุ้นแล้วได้กำไร มีข้อสังเกตหลายอย่างที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์และการพูดคุยกับนักลงทุนหลายคน พบว่ามีประเด็นที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้ครับที่ทำให้คนที่พยายามศึกษาการ วิเคราะห์ทางเทคนิคมาตั้งนานแต่ไม่สามารถทำกำไรได้สักที 


1. มีกลยุทธ์ในการทำกำไรที่ดีแต่ไม่บริหารเงินลงทุน (Money Management) 
การบริหารเงินลงทุนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในแผนกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นที่จะขาดไม่ได้ ถึงแม้จะมีกลยุทธ์ในการทำกำไรที่ดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่มีการบริหารเงินลงทุนก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จเวลาวางแผนซื้อขายหุ้น จะให้ความสำคัญกับการบริหารเงินลงทุนและออกแบบกลยุทธ์การซื้อขายเพื่อปกป้องเงินลงทุนมากกว่าจะเน้นไปที่แผนในการทำกำไร  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเทรดเดอร์เหล่านั้นเข้าใจความจริงที่ว่าถึงแม้จะวางแผนการซื้อขายมาอย่างดีผลการซื้อขายก็มีโอกาสที่จะออกมาเป็นขาดทุนได้ ถ้าไม่มีการวางแผนที่จะขาดทุนไว้ล่วงหน้าแล้วเกิดผลขาดทุนจำนวนมากในการซื้อขายเพียงไม่กี่ครั้ง กว่าจะทำกำไรให้เงินทุนกลับมาเท่าเดิมก็จะยากขึ้น ในทางกลับกันพบว่าเทรดเดอร์มือใหม่จะเน้นแผนกลยุทธ์ในการทำกำไรมากกว่าและไม่ค่อยให้ความสนใจในการเตรียมตัวรับผลขาดทุน 
การให้ความสำคัญแต่กลยุทธ์ในการทำกำไรเพียงอย่างเดียว เปรียบเสมือนกับเวลาแข่งกีฬาแล้วผู้จัดการทีมวางแผนที่เน้นแต่เกมรุกหวังจะทำคะแนนฝั่งตรงข้ามเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีแผนป้องกันเพื่อรับมือกับฝ่ายตรงข้าม ถึงแม้ทีมจะทำคะแนนได้มากแต่ถ้าไม่มีการป้องกันแล้วถูกฝ่ายตรงข้ามทำคะแนนได้มากกว่าผลการแข่งขันก็ออกมาแพ้อยู่ดี ในเกมของการลงทุนมีกติกาที่สำคัญคือใครป้องกันเงินลงทุนไม่ให้ขาดทุนได้เก่งจะยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น


2. ไม่มีวิธีซื้อขายหุ้นเป็นของตัวเอง 
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะมีวิธีการซื้อขาย(Trade Setup)เป็นของตัวเอง รายละเอียดใน Trade Setup จะมีการกำหนดว่า จะถือหุ้นนานแค่ไหน ภาวะตลาดโดยรวมเป็นแบบใดและรูปร่างหน้าตากราฟแบบไหนจึงจะลงมือซื้อขาย จะใช้กราฟรายวัน รายชั่วโมง รายนาที หรือรายสัปดาห์ จะใช้ Indicator ตัวไหนประกอบการตัดสินใจ และจะซื้อด้วยจำนวนเท่าไหร่ วางจุดตัดขาดทุนไว้ตรงไหน และมีแผนการทำกำไรอย่างไร ซึ่งวิธีการซื้อขายหรือ Trade Setup นี้จะถูกออกแบบและปรับแต่งให้เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายและความชอบส่วนตัวของเทรดเดอร์รายนั้นๆทำให้เวลาที่เทรดเดอร์เหล่านั้นใช้งาน Trade Setup ที่ตัวเองสร้างขึ้น จะเข้าใจอย่างดีถึงข้อดี ข้อเสีย ข้อสังเกตพิเศษของ Trade Setup ที่ใช้อยู่คืออะไร แต่เวลาที่เราลอกเอาวิธีการซื้อขายของเทรดเดอร์คนอื่นมาใช้แบบโต้งๆ เรามักจะไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จหรือจะเกิดสภาวะอึดอัดในการลงทุนเพราะวิธีการซื้อขายเหล่านั้นไม่เหมาะกับสไตล์ของเรานั่นเอง 
ตัวอย่าง ที่ผมพบอยู่บ่อยๆ เช่น มักจะมีคนถามว่าจำนวนวันของเส้น Moving Average ที่ผมใช้งานอยู่คือกี่วันเผื่อจะลอกเอาไปใช้งานบ้าง ผมก็ยินดีตอบให้เลยทันทีครับว่าผมใช้เส้น 10EMA คู่กับเส้น 50 EMA กับกราฟรายวันในการซื้อขายหุ้น แต่ปรากฏว่าก็มีคนจำนวนไม่น้อยบ่นว่าเส้น Moving Average ที่ผมใช้งานนั้นให้สัญญาณในการตัดสินใจซื้อขายที่ช้าเกินไป แต่ผมกลับคิดว่าผมใช้งานเส้น Moving Average สองเส้นนี้ได้อย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพที่สุด
ข้อแนะนำคือ เราไม่สามารถลอกวิธีการซื้อขายของคนอื่นมาใช้งานแล้วประสบความสำเร็จได้ แต่เราสามารถศึกษาแนวความคิดหรือเหตุผลทางเทคนิคที่สนับสนุนในการสร้าง Trade Setup ของคนเก่งๆ และนำแนวทางเหล่านั้นมาพัฒนา ปรับปรุงหรือเพิ่มเติมเงื่อนไขเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์และความชอบส่วนตัวของเรา ให้จินตนาการว่า Trade Setup ประจำตัวของแต่ละคนนั้นเป็นเหมือนกับการใช้งานอาวุธประจำกาย แต่ละคนจะมีความถนัดในอาวุธแต่ละชนิดที่ไม่เหมือนกัน ถ้าให้คนที่ถนัดใช้ดาบในการต่อสู้มาใช้หอกหรือธนูก็คงจะใช้งานได้ไม่ดีนัก การใช้งานอาวุธที่ไม่ถนัดในการต่อสู้นั้นมีโอกาสทำให้แพ้ได้สูง แต่ถ้าได้ใช้อาวุธดาบที่คล่องมือและฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีก็สามารถที่จะฟาดฟันเอาชนะได้ไม่ยาก 
3. มีแผนการซื้อขายที่ดีแต่ไม่ทำตามแผนที่วางไว้

ถ้าจะถามเทรดเดอร์ว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดที่จะทำให้การซื้อขายประสบความสำเร็จ คำตอบที่เราจะได้ คือ “การมีแผนในการซื้อขายและวินัยที่จะปฏิบัติตามแผนที่วางไว้” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้ในการอ่านกราฟเป็นอย่างดี วางกลยุทธ์ในการซื้อขายสร้าง Trade Setup ที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรสูง มีแผนในการบริหารความเสี่ยงของเงินลงทุนที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเราไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการซื้อขายได้
มีการทดลองและทฤษฎีทางจิตวิทยาการลงทุนมากมายที่พยายามอธิบายเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงไม่ยอมทำตามแผนที่วางไว้ หรือมักจะเลือกลงมือในทางเลือกที่ส่งผลร้ายต่อการลงทุนมากว่าทางเลือกที่ส่งผลดี อย่างไรก็ตามการที่เราตอบได้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เราไม่ยอมทำตามแผนที่วางไว้มีประโยชน์น้อยมากต่อผลการซื้อขาย คำตอบที่จะทำให้ผลการซื้อขายของเราดีขึ้นและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เราคือ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แผนที่เราวางไว้บอกให้เราทำอะไร และเราได้ลงมือทำหรือแล้วยัง   

4. การหาคำตอบจากกราฟ
ข้อผิดพลาดที่สำคัญที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดคือการพยายามวิเคราะห์กราฟเพื่อตอบคำถามว่าอนาคตราคาจะต้องเคลื่อนที่ไปอย่างไร และไปในทิศทางไหนจะขึ้นหรือจะลง ถ้าขึ้นจะขึ้นไปถึงราคาเท่าไหร่ ถ้าลงจะลงไปสุดที่ราคาไหน ผมเห็นหลายคนที่พยายามศึกษาการอ่านกราฟเพื่อพยายามตอบคำถามข้างต้นและเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่เป็นไปตามที่วิเคราะห์หรือซื้อขายแล้วเกิดผลขาดทุนก็รู้สึกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการอ่านกราฟไม่สามารถช่วยให้ซื้อขายแล้วได้กำไร 
เวลาที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์อ่านกราฟไม่ได้พยายามหาคำตอบว่าอนาคตราคาจะเคลื่อนที่อย่างไรไปในทิศทางไหน แต่จะอ่านกราฟเพื่อทำความเข้าใจว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร เช่นการตั้งคำถามว่า ตอนนี้แรงซื้อหรือแรงขายฝั่งไหนมากกว่ากัน แรงซื้อแรงหรือแรงขายมากขึ้นหรือเริ่มจะอ่อนแรงแล้ว อารมณ์หรือจิตวิทยาของคนกลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาซื้อขายในตลาดต่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร กำลังตื่นเต้น กำลังหวาดกลัว กำลังมีความกังวล หรือเลิกสนในหุ้นตัวนั้นไปแล้ว คนกลุ่มต่างๆที่เข้ามาซื้อขายกำลังคิดหรือทำอะไรอยู่ ระดับราคาไหนน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาเสริม ระดับราคาไหนน่าจะมีแรงขายเข้ามาเพิ่ม การตอบคำถามข้างต้นก็เพื่อนำข้อมูลไปวางแผนและตัดสินใจว่าควรจะลงมือทำอะไร โดยมีเป้าหมายคือต้องการความน่าจะเป็นในการซื้อขายแล้วได้กำไรมากกว่าโอกาสที่จะขาดทุน (High Winning Probability)
นอกจากนั้นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะมีความเชื่อว่าไม่มีอะไรที่แน่นอน เหตุการณ์ทุกอย่างมีสามารถเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากหรือน้อย เราไม่สามารถระบุได้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 100% จึงไม่มีความคิดที่จะฟันธงว่าราคาหุ้นจะต้องขึ้นแน่ๆหรือลงแน่ๆ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จึงมีการวางแผนสำรองเสมอสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ถ้าเกิดเหตุการณ์ Aจะทำอะไร แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ B จะทำอะไร แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์ D,E,F จะทำอะไร
ขอแนะนำให้อ่านบทความ “3 เรื่องควรรู้ก่อนศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิค” และบทความ “คำถามต้องห้ามหากจะเรียนรู้หุ้นเทคนิค” ที่ผมเขียนขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อทำความเข้าใจแนวทางในการใช้งานการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้มากขึ้น

5. ยังฝึกฝนการเทรดไม่มากพอ
ลองจินตนาการถึงกลุ่มคนจำนวนมากนับแสนๆ รายที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น ทุกคนที่เข้ามาซื้อขายมีเป้าหมายเหมือนกันคือต้องการเป็นผู้ชนะ แต่ความเป็นจริงพบว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จและสามารถทำกำไรได้จากตลาดหุ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเป็นผู้แพ้และเป็นคนจ่ายเงินให้กับผู้ชนะ คุณคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขายควรมีคุณสมบัติอย่างไรครับ 
ผมขออ้างถึงหนังสือชื่อดัง “Outliers : The Story of Success ” ที่เขียนโดย Malcolm Gladwell และถูกแปลเป็นฉบับภาษาไทยในชื่อ “สัมฤทธ์พิศวง” ในหนังสือมีเนื้อหาน่าสนใจที่พูดถึงกฏ 10,000 ชั่วโมงไว้ว่า เมื่อเราให้เวลากับการทำงานหรือฝึกฝนกิจกรรมด้านใดด้านหนึ่งอย่างต่อเนื่องจนครบ 10,000 ชั่วโมงหรือมากกว่า สิ่งที่เราทำจะถูกพัฒนาเป็นทักษะที่เชี่ยวชาญและทำให้เราประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆได้ 
เส้นทางของเทรดเดอร์ก็เช่นเดียวกันหากเราต้องการจะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพก็จำเป็นจะต้องมีการฝึกฝนทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลาที่ตลาดหุ้นปิดทำการซื้อขาย ให้หาเวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทบทวนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ประเมินผลการซื้อขายและการตัดสินใจของตัวเองอย่างจิงจังจดบันทึกการซื้อขาย (หรือลองอ่านแนวทางการบันทึกได้ที่บทความนี้ครับ “วางแผนรวยด้วย Trading Diary”เพื่อเป็นข้อมูลในการศึกษาจุดดีจุดเสียของกลยุทธ์ของตัวเอง และวางแผนการซื้อขายสำหรับวันถัดไป การฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆอย่างต่อเนื่องจะทำให้เรามีประสบการณ์ด้านมุมมองของตลาดมากกว่าคนอื่นและทำความเข้าใจวิธีการซื้อขายของตนเองอย่างถ่องแท้จนเกิดเป็นทักษะในการซื้อขายหุ้นให้ประสบความสำเร็จได้

สุดท้ายผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ช่วยคลายข้อสงสัยของหลายคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการซื้อขายหุ้นด้วยการใช้งานการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นแนวทางเพื่อพัฒนาการซื้อขายหุ้นให้ดีขึ้น หากใครมีคำถามสงสัยสามารถ Comment ถามได้เลยครับยินดีตอบทุกคำถาม 

creit:www.aommoney.com

เรื่องราวที่น่าสนใจ