United States of America

 
สหรัฐอเมริกาประกอบด้วย 50 รัฐ ปกครองโดยรัฐบาลกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในอเมริกาเหนือ และมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และนับตั้งแต่เป็นอิสระจากสหราชอาณาจักร เมื่อ 4 กรกฎาคม 1776, อเมริกาก็ได้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
จาการที่มีเศรษฐกิจที่ ใหญ่ที่สุดในโลก อเมริกาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในตลาดโลก แค่เรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจใดๆในอเมริกา เช่น ประชากรมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือ การทำงานของประธานาธิบดีที่มีต่อประชาชน ก็สามารถสร้างปลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

สหรัฐอเมริกา : ข้อเท็จจริง ตัวเลข และคุณลักษณะ
  • เพื่อนบ้าน : แคนาดา, เม็กซิโก, เปอร์โตริโก้, คิวบา
  • ขนาด : 3,794,101 ตารางไมล์
  • จำนวนประชากร : 309,349,689 คน
  • ความหนาแน่นของประชากร : 87.4 คน ต่อ ตารางไมล์
  • เมืองหลวง : วอชิงตัน ดีซี ( Washington D.C.)
  • ผู้นำรัฐบาล : ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
  • สกุลเงิน : ดอลลาร์สหรัฐ (U.S. Dollar หรือ USD)
  • สินค้านำเข้าหลัก : วัสดุเพื่อการอุตสาหกรรม( น้ำมันดิบ) สินค้าทุน (คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์โทรคมนาคม,ชิ้นส่วนรถยนต์, เครื่องใช้สำนักงาน, เครื่องใช้ไฟฟ้า) สินค้าอุปโภคบริโภค (รถยนต์, เสื้อผ้า, ยา, เฟอร์นิเจอร์, ของเล่น) และ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
  • สินค้าส่งออกหลัก : สินค้าทุน (ทรานซิสเตอร์, อากาศยาน, ชิ้นส่วนรถยนต์, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์โทรคมนาคม) วัสดุอุตสาหกรรม (สารอินทรีย์เคมี) สินค้าอุปโภคบริโภค (รถยนต์,ยา) สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, ผลไม้, ข้างโพด) ของเล่นอื่นๆ (ตุ๊กตาบาร์บี้, เครื่องเล่น Xbox, Apple iPod)
  • ประเทศคู่ค้านำเข้า : จีน (27%), แคนาดา (21.4%), เม็กซิโก (17.8%), ญี่ปุ่น (8.7%), เยอรมนี (6.6%)
  • ประเทศคู่ค้าส่งออก : แคนาดา (19.4%), เม็กซิโก (12.8%), จีน (7.2 %), ญี่ปุ่น (4.7%)
  • เขตเวลา : GMT-10, GMT-9, GMT-8, GMT-7, GMT-6, GMT-5
  • เว็บไซด์ : http://www.usa.gov

 เศรษฐกิจโดยทั่วไป
สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่ สุดในโลกในปี 2011 มีการส่งออกสินค้ามูลค่าประมาณ 15.09 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นอันดับ 8 ของโลก และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 48,386 ดอลลาร์ ต่อปี
อุตสาหกรรมหลักของประเทศคือ อุตสาหกรรม การบิน รถยนต์ ทรานซิสเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ อาจจะดูเหมือนว่าเศรษฐกิจหลักของสหรัฐอเมริกามาจากการผลิตสินค้าทางกายภาพ แต่ที่จริงแล้ว 70% ของการส่งออกนั้นมาจากการบริการ
องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาคือ การขาดุลทางการค้า (มูลค่ามวลรวมของสินค้าที่นำเข้ามีมากกว่ามูลค่ามวลรวมของการส่งออกสินค้า)
สหรัฐอเมริกายังเป็นที่ตั้งของ “New York Stock Exchange” ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดกว่า 31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีตลาดตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรกว่า 822 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ยต่อวัน
สหรัฐอเมริกามีเศรษฐกิจใหญ่ระดับแนว หน้าของโลกในยุคนี้ ทำให้เมื่อมีเหตุการณ์ใดที่มีผลต่อประเทศ ก็จะมีผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก รวมทั้งตลาด Forex ที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินด้วยเช่นกัน
        
นโยบายกาทางเงินและการคลัง
The Federal Reserve Board (Fed) คือ คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือที่เราเรียกกันว่า “เฟด” เป็นผู้ดูแลก่อตั้งและดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศ
นโยบายทางการเงินเป็นเพียงวิธีที่เฟด ใช้เพื่อควบคุมสภาพคล่องและอุปทานทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ และสิ่งที่ทำให้เฟดพิเศษกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ก็คือวัตถุประสงค์จะขึ้นอยู่กับผลกระทบในระยะยาวที่เกิดจากนโยบายทางการเงิน นโยบายของเฟดมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ
          1. การรักษาราคาของสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการให้มีเสถียรภาพ
          2. เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน
เฟดประกอบด้วย คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Open Market Committee) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า FOMC ปัจจุบันมีการนำโดย ประธานเฟด นายแบน เบอร์นันเก้ ผู้ซึ่งจะรับอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน จาก FOMC
FOMC มีอาวุธหลัก 2 อย่างที่จะใช้ในการสู้รบกับสภาวะเงินเฟ้อและเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในระยะยาว
  1. Open Market Operation คือ การเทรกแซงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางโดยการเข้าไปซื้อขายในตลาดพันธบัตร เพื่อให้มีผลต่ออัตราดอกเบี้ย เป็นมาตรการแรกที่จะใช้ป้องกันสภาวะทางเศรษฐกิจของเฟด
  2. Fed Fund Rate คือ ดอกเบี้ยที่ธนาคารพานิชปล่อยกู้เงินสำรองให้กันและกัน เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ เฟดใช้เพื่อให้สัญญาณบ่งบอกถึงนโยบายการเงิน มาตรการนี้จะถูกนำมาใช้หากว่ามาตรการแรกไม่เพียงพอ โดยเฟดจะเสนออัตราดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารพานิช
และผู้ที่รับผิดชอบในการตัดสินใจนโยบาย ทางการคลัง คือ กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา นโยบายการคลังก็คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล หรือ การจัดเก็บภาษีที่มีอิทธิพลต่อทิศทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น สามารถเลือกที่จะลดภาษี และให้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน โรงเรียน อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ค่าใช้จ่ายทางการทหาร และอื่นๆ หรือ เมื่อเริ่มเกิดวิกฤตเงินเฟ้อ ก็อาจตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย และลดค่าใช้จ่ายอื่นๆลง
          
ทำความรู้จักกับ USD
ชื่อเล่นของ U.S. Dollar (USD) คือ “Buck” (บั๊ค) มีที่มาจากหนังกวาง ซึ่งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเมื่อสมัยที่อเมริกาเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และได้มีการแลกเปลี่ยนกับอินเดียนแดง แม้ว่าตอนหลังจะมีการใช้เงินที่เป็นกระดาษแทนที่หนังกวางในระบบแลกเปลี่ยน แต่ผู้คนก็ยังคงเรียกสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนว่าบั๊คอย่างติดปาก ทีนี้เราลองมาดูคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนของ บั๊ค ว่ามีอะไรบ้าง
       มีสภาพคล่อง : การทำธุรกรรมทางสกุลเงินทุกวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับ USD อย่างเช่น สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมันดิบ ทอง ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าเป็น ดอลลาร์สหรัฐ ในแถบเอเชียมีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 93% ของสกุลเงินทั้งหมดในการทำธุรกรรมต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ลองมาดูตัวอย่างเช่น  New York Stock Exchange และ ตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนใน NYSE ประมาณ 28.5 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 78% ของขนาดการลงทุนในตลาดหุ้นโลกที่มีทั้งหมดประมาณ 36.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับตลาดพันธบัตรทั่วโลกที่มีมูลค่าทั้งหมด 82.2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนหนึ่งในนั้นเป็นของสหรัฐอเมริกาอยู่ถึง 31.2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ จากตัวอย่างการซื้อขายที่ยกมานี้ ต่างมี USD เป็นส่วนร่วมอยู่ด้วย และนี่เองคือสภาพคล่องของบั๊ค
      เฟดและรัฐบาลสหรัฐเชื่อว่า USD จะยังคงแข็งแกร่ง : ช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐมีนโยบายทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่ง พวกเขาเชื่อว่านโบบายการเงินและการคลังควรมุ่งสู่อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็ง แกร่งของสหรัฐอเมริกา เพื่อที่มันจะเอื้อประโยชน์ให้อเมริกาและส่วนที่เหลือของโลก
      สกุลเงินของประเทศที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมากพึ่งพา USD ในการกำหนดมูลค่าของพวกเขา: คุณคงเคยได้ยินบ่อยๆว่า ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองของโลก เหตุผลก็คือว่า บางประเทศยังตรึงค่าสกุลเงินตัวเองกับดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลจะตกลงซื้อหรือขายสกุลเงินของพวกเขาที่มีราคาคงที่เมื่อเทียบกับ ดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลสามารถเพิ่มและลดอุปทานของเงินตามดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังมีเงินสำรองที่มีมูลค่าเทียบเท่าดอลลาร์สหรัฐด้วย กระบวนการนี้ช่วยขยายความสำคัญของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก เพราะนั่นหมายความว่ามีบางเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับดอลลาร์สหรัฐอย่างสิ้นเชิง หากค่าเงินดอลลาร์ในเวทีโลกร่วง ก็จะส่งผลกระทบวงกว้างไปถึงประเทศอื่นๆ ที่ตรึงค่าสกุลเงินตนเองไว้กับดอลลาร์สหรัฐด้วย

เครื่องชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับ USD  

Non-Farm employment change (NFP)
NFP คือ รายงานเปลี่ยนแปลงอัตราการจ้างงานนอกภาคการเกษตร รายงานการจ้างงาน NFP ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนคนที่ถูกว่าจ้างในเดือนก่อน
The Gross Domestic Product (GDP)
GDP คือ รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัวชี้วัดมูลค่าโดยรวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายภายในประเทศ
Retail Sale (การค้าปลีก)
Retail Sale คือ รายงานยอดค้าปลีก วัดการเปลี่ยนแปลงรายเดือนในมูลค่ารวมของยอดขายปลีก และรายงานค้าปลีกอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า Core Retail Sale จะไม่รวมการซื้อขายรถยนต์
Consumer Price Index (CPI)
CPI คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค วัดการเปลี่ยนแปลงราคาคงที่ของสินค้าและบริการ ดัชนีผู้บริโภคอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า Core CPI จะไม่รวมสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน เพราะสินค้าเหล่านี้มีราคาที่ผันผวนง่าย
Personal Consumption Expenditure (PCE)
PEC คือ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคส่วนบุคคล มีลักษณะคล้ายกันกับรายงานดัชนีผู้บริโภค คือ วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐอเมริกา เหตุผลที่ควรสนใจรายงานนี้ก็เพราะ เป็นรายงานที่เฟดใช้เวลาที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงิน
University of Michigan Consumer Sentiment  
คือ รายงานความชื่อมันของผู้บริโภค ที่จะประกาศทุกเดือน โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ดัชนีนี้จะวัดทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อสภาวะเศรษฐกิจ ถ้าผู้บริโภคมีความมั่นใจมาก ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้จ่ายมากด้วย  

สิ่งที่มีผลต่อราคา USD 
ทองคำพุ่ง
เมื่อไหร่ก็ตามที่ดอลลาร์มีความเสี่ยง ต่อการสูญเสียมูลค่าของมันจากอัตราเงินเฟ้อ นักลงทุนจะหันไปลงทุนในทองคำแทนเพื่อความปลอดภัย เพราะทองแตกต่างจากสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่ ทองสามารถรักษาคุณค่าที่แท้จริงของมันได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม “ทองก็ยังเป็นทอง และเป็นทองเหมือนกันทุกที่” ดังนั้นเมื่อเวลาที่ทองคำมีราคาปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจเป็นสัญญาณได้ว่า ดอลลาร์มีความน่าสนใจน้อยลง หรืออยู่ในภาวะเสี่ยงนั่นเอง

การพัฒนาทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
พื้นฐานการพัฒนาทางเศรษฐกิจในเชิงบวก ของสหรัฐอเมริกาดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศมากขึ้น และในการลงทุนในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนต้องการเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำธุรกรรมต่างๆในการลงทุน และเมื่อมีความต้องการที่จะให้ดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นก็มีผลทำให้ค่าเงินนั้น เพิ่มมากขึ้นด้วย
          
เงินทุนไหลเข้าและไหลออก
สหรัฐอเมริกามีตลาด การเงินที่ทันสมัยและหลากหลายที่สุด ทำมีตัวเลือกมากมายให้นักลงทุนทั้งหลายจากทั่วโลก และเพื่อลงทุนในสินทรัพย์อเมริกันเหล่านี้ นักลงทุนเหล่านั้นต้องทำการแลกเปลี่ยนเงินสกุลเดิมของตนเองเป็นดอลลาร์สหรัฐ การที่มีเงินทุนไหลเข้าไหลออกในตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกามีผลอย่างมีนัย สำคัญกับมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
       
การพัฒนาทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ตั้งแต่ USD กลายเป็นค่าเงินหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อมีพัฒนาของเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น GDP ของ ออสเตรเลียมีการเติบโตมาก ตลาดหุ้นตกต่ำในปักกิ่ง หรือ กอซซิล่าบุกโตเกียว เหล่านี้ต่างก็มีผลกระทบในระยะสั้นต่อดอลลาร์สหรัฐ
            
ความแตกต่างจากผลตอบแทนจากพันธบัตร (Bond Yield)
เพราะนักลงทุนมักจะมองหาผลตอบแทนที่ดี ที่สุดสำหรับเงินทุนของพวกเขา พวกเขาจึงต้องติดตามดูความแตกต่างของผลตอบแทนพันธบัตรระหว่างของสหรัฐ อเมริกาและจากประเทศอื่นๆว่าเป็นเช่นไร ถ้านักลงทุนเห็นว่าผลตอบแทนพันธบัตรจากต่างประเทศนั้นเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐนั้นยังคงที่ หรือลดลงจากเดิม นักลงทุนก็จะย้ายเงินทุนของพวกเขาออกจากพันธบัตรสหรัฐ และไปซื้อพันธบัตรต่างประเทศแทน
            
ข่าวลือเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่ได้ฟังมา
เพราะนักลงทุนในตลาดต่างให้ความสนใจใน แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย เมื่อเฟดคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย นั่นหมายถึงการที่ความต้องการสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเป็นสกุลเงินดอลลาร์นั้น เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีค่าเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็จะทำให้ความต้องการในสินทรัพย์เหล่านั้นลดลง เราจะเห็นนักลงทุนย้ายเงินทุนของพวกเขาออกจากประเทศ
นับตั้งแต่ที่เฟดมักจะปิดบังข้อมูล เกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของธนาคารกลางสหรัฐ นักลงทุนก็จะคอยฟังแนวโน้มของดอกเบี้ยจากการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบาย

           การเทรด USD
          USD เป็นสกุลเงินหลัก (Base Currency)
          USD/XXX มีการซื้อขายในปริมาณที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ Standard lot size (ขนาดของจำนวนมาตรฐาน) คือ 100,000 USD และ Mini lot size คือ 10,000 USD
           ค่า Pip (จุด) ซึ่งเป็นสกุลเงินใน XXX จะถูกคำนวณโดยการหาร 1 pip จาก USD/XXX ซึ่งจะเป็น 0.0001 หรือ 0.01 ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินนั้นตกลงกันอย่างไรเกี่ยวกับอัตราของ USD/XXX ในปัจจุบัน
          ผลกำไรแลขาดทุนจะเป็นตัวเงินในสกุล XXX สำหรับการเทรด 1 Standard lot size การเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่า 10 XXX และ สำหรับการเทรด 1 Mini lot size หารเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่า 1 XXX ตัวอย่างเช่น
 ถ้า 1 Pip เท่ากับ 0.0001 และอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันของ USD/XXX คือ 1.4000 หนึ่ง Pip ของการเทรดใน Standard lot size จะเท่ากับ 14 USD  
          การคำนวณ Margin จะขึ้นอยู่กับ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และด้วยการใช้ประโยชน์จาก Leverage 100:1, เงินจำนวน 1,000 USD จะสามารถเทรดได้ 100,000 USD/CAD
          USD เป็น สกุลเงินรอง (Quote currency)
          XXX/USD มีการซื้อขายในปริมาณที่เป็นสกุลเงิน XXX, Standard lot size คือ 100,000 XXX และ Mini lot size คือ 10,000 XXX
          ค่า Pip จะเป็นสกุลเงิน USD จะถูกคำนวณโดยการหาร 1 pip จาก XXX/USD ซึ่งจะเป็น 0.0001 หรือ 0.01 ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินนั้นตกลงกันอย่างไรเกี่ยวกับอัตราของ XXX/USD ในปัจจุบัน
          ผลกำไรแลขาดทุนจะเป็นตัวเงินในสกุล USD สำหรับการเทรด 1 Standard lot size การเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่า 10 USD และ สำหรับการเทรด 1 Mini lot size หารเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่า 1 USD
           การคำนวณ Margin จะขึ้นอยู่กับสกุลเงินที่เป็นสกุลหลัก เช่น ถ้าเทรดคู่เงิน XXX/USD มีอัตรา 0.8900 และ Leverage 100:1 ดังนั้น ก็ต้องการ 890 USD เพื่อให้เพียงพอต่อการเทรดใน Standard lot size สำหรับ 100,000 XXX อย่างไรก็ดี ถ้าอัตราของ XXX/USD นั้นเพิ่มขึ้น ก็ต้องการ Margin ที่เป็น USD ที่เพิ่มขึ้นด้วย และในทางตรงกันข้ามกัน ถ้าอัตรา XXX/USD นั้นลดลง ก็ต้องการ Margin ในการเทรดลดลงด้วย

กลยุทธ์การเทรด USD 
ทีนี้เราจะนำสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วทั้ง หมดมาประยุกต์ใช้ให้เป็นกลยุทธ์ในการเทรด USD โดยการเริ่มต้นจากการหาความแตกต่าง เปรียบเทียบระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจรวมทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐ อเมริกาและเศรษฐกิจของประเทศหลักที่สำคัญอื่นๆ เช่น มียอดค่าปลีกสูงขึ้นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักร มีรายงานการจ้างงานที่ที่ย่ำแย่ และนี่อาจเป็นเหตุผลให้คุณตัดสินใจ Sell GBP/USD
ดัชนี USDX ซึ่งจะติดตามประสิทธิภาพของ USD เทียบกับค่าคงที่ของตะกร้าเงิน และเป็นตัวชี้วัดค่าความแข็งแกร่งของ USD โดยปรกติคุณสามารถข้อมูลและแนวโน้มของ USD ได้จาก USDX เช่น ถ้าดัชนี USDX มีแนวโน้มสูงขึ้น ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า คุณควรจะ Short, EUR/USD
ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด (Fed Funds) ซึ่งเป็นสัญญาณถึงความเป็นไปได้ถึงการจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นใน สินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนต้องการที่จะซื้อ USD เพื่อลงทุนในในสหรัฐอเมริกา ทำให้ USD มีค่าเพิ่มขึ้น
ในการบันทึกการประชุมนโยบายการเงินของ เฟด ซึ่งมักจะเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่เฟด อาจจะได้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับทิศทางของ USD



Credite:www.thaiforexschool.com

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ