บทความ

ECB - European Central Bank  (ธนาคารกลางยุโรป) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก   มีความรับผิดชอบในการดำเนินนโยบายการเงินที่ครอบคลุม 16 ประเทศสมาชิกของยูโรโซน  ก่อตั้งขึ้นโดยสหภาพยุโรป (EU) ในปี 1998 โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ต เยอรมนี ECB เป็นองค์กรหลักที่สำคัญของ Eurosystem และเป็นระบบของยุโรปโดยธนาคารกลาง Eurosystem คือผู้มีอำนาจทางการเงินของกลุ่มยูโรโซน เกิดจากการรวมตัวของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ได้นำเงินยูโรไปใช้อย่างเป็นทางการ  Eurosystem ประกอบด้วยธนาคารกลางยุโรป (มีหน้าที่ตัดสินใจในนโยบายการเงิน) และธนาคารกลางของประเทศสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มยูโรโซน (ใช้นโยบายการเงินที่ตัดสินใจโดย ECB) วัตถุประสงค์หลักของ Eurosystem คือเสถียรภาพด้านราคา  วัตถุประสงค์ที่สองคือความมั่นคงและบูรณาการทางการเงิน และสาม พันธกิจของ Eurosystem คือ ECB และธนาคารกลางของชาติต่างๆจะต้องร่วมมือกันเพื่อ​การบรรลุวัตถุประสงค์ และเพราะมีสมาชิกที่อยู่นอกยูโรโซน ระบบของยุโรปจากธนาคารกลาง(European System of Central Banks หรือ ESCB)  จึงเป็นระบบของธนาคารกลางที่
  บล็อคนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมชาวไทยทุกคนหันมาสนใจลงทุนด้านค่าเงิน (forex)  เพราะในปัจจุบันทุกคนต่างปฏิเสธไม่ได้เรื่องการหาเงินใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการออมเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเยอะๆไว้กินตอนเกษียรยามแก่ตัว   ในปัจจุบันนี้เรื่องฟอร์เร๊กอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยเพราะ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รู้ และไม่เคยได้ลองสัมผัส แต่ในเวลานี้ฟอร์เร๊กได้มีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเพราะมันเป็นยิ่งกว่าด้านการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน หุ้น ยิ่งกว่าธุรกิจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันทำกำไรให้เราได้เร็วกว่า 5 นาที - 1 วัน คุณสามารถได้เทรดค่าเงินได้ทั้งวัน ไม่มีการเซ็นเอกสารส่งคำสั่งซื้อขาย เพราะเทรดในโปรแกรม ไม่ผ่านนายหน้าใดๆ เสียค่าคอมมิชชั่นถูกสุดๆในการเทรดแต่ล่ะครั้ง  ทั้งหมดที่กล่าวมาคือข้อที่ได้เปรียบ ฟอร์เร๊กในประเทศไทยปัจจุบันนี้ เริ่มมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีคนรู้จักได้ลองสัมผัสกับตลาดค่าเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เอาเงินมาถมประเทศไทยได้ทั้งประเทศเลย เพราะมูลค่าการซื้อขายมันโหดสุดๆฉนั้นเราต้องกอบกวยเงินต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทยเยอะๆนะครับ GDP ของประเทศจะได้เติบโตข้ามวันข้
บทความนี้เป็นบทความแรกที่อ่าน ๆไปแล้วผมคิดว่าเจ้าของกระทู้เค้ากำลังตอบ 2 คำถามในกระทู้เดียวดังนั้นผมเลยตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 บทความจากกระทู้เดียวเพื่อไม่ให้สับสนต่อการอ่าน ในบทความนี้ จขกท. เข้าจะพูดถึงแนวคิดของเขารวมไปถึงวิธีการเทรดของเขาซึ่งผมจะแยกวิธีการเทรดของเขาออกจากแนวคิดของเขานะครับ ซึ่งในบทความนี่ผมจะพูดถึงเรื่องที่เขาอยากจะเริ่มทดลองระบบของเขาก่อนแล้วกันนะครับ คุณ aarizahmad เจ้าของกระทู้ถามเล่าว่าเขาพึ่งเริ่มเทรดได้ประมาณ 2 เดือนและได้ทดลองระบบของเขาโดยการเช็คย้อนหลังซึ่งระบบของเขาจะใช้สัญญาณเข้าจากรูปแบบกลืนกิน (Engulfing Bar) ของแท่งเทียนใน Daily Time Frame เป็นสัญญาณเข้า ความเสี่ยงของระบบผมอยู่ที่ 3:1 ซึ่งทดสอบดูแล้ววิธีการเทรดของผมถูก 20 ครั้งผิด 10 ครั้งเมื่อเอาจำนวณครั้งที่ถูกมาคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วพบว่าระบบผมสามารถทำกำไรได้ถึง 60% เลยทีเดียวและเสียเพลง 10% เท่านั้น จากตัวเลขนี้ผมเลยคิดว่าระบบผมเป็นไปได้ที่จะนำมาเทรดจริง ๆ ผมเลยอยากจะถามเพื่อนร่วมบอร์ดว่า ข้อที่ 1: ผลที่ได้นี้แม่นยำพอที่จะไปเริ่มเทรดเดโม่หรือเงินจริงหรือยังครับ? ข้อที่ 2: ความเสี่ยงของเขาต่อการเทรด 1 ค
  "ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว"  นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL ที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า  ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน  ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต) คำพูดที่ว่า    "Live to trade another day!"  น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเด
การมองภาพกว้าง ภาพรวมของตลาดก่อนเทรด เพื่อวิเคราะห์ ทิศทางตลาด รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์การเทรด กรณีที่เกิด event ต่างๆ   ระดับ ความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ จะนิยมเล่นเก็งกำไร ก่อนตัวเลขจะประกาศ บางสายเรียกว่า Event Trade ครับ มันจะสอดคล้องกับ เทรนด์ราคา ของค่าเงิน หรือดัชนีต่างประเทศ บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม และการอยู่ตัวของแนวโน้ม ได้อีกด้วย โดยผมขอแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆดังต่อไปนี้ การแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ  -PMI (กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจ) - GDP  - Non farm Payrolls  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน) - Unemployment Rate  (เกี่ยวกับอัตราว่างงาน) - Retail sales Indicator(อสังหาริมทรัพย์) - Housing stats (อสังหาริมทรัพย์) - CPI  ( Consumer Price index )  - อัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลขต่างดูได้จาก www.investing.com ปฏิทินเศรษฐกิจ  Event ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในรอบสัปดาห์ พวกการประชุมของผู้นำชาติ ผู้นำธนาคารกลาง www.  forexfactory.com ข่าว   -Reuters, The Wall Street Journal, Bloomberg, MarketWatch.com Market Sentimental  อารมณ์
Quantitative Qualitative Estimation (QQE) เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก QQE indicator ใช้วัดค่าความผันผวน volatile ตามคาบการแกว่ง โดยใช้โมเดล RSI และ ATR เข้ามาทำงานร่วมกัน  แนวคิดการทำงาน สร้างค่า smoothed Relative Strength Index (RSI 14) จาก Moving average ตาม period ที่กำหนด เพื่อเปรียบเทียบกับ ค่า ATR(14) โดยมี trailing stop lines ทั้ง 2 เส้นคือ - fast trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 2.618 - slow trailing stop สร้างจาก ATR smoothed ที่คำนวณจาก wilders function [wilders()] * 4.236 การแปลความหมาย QQE แสดงค่า 2 เส้นคือ fast และ slow ร่วมกับการพิจารณาระดับ level ที่สำคัญในการบอก นัยสำคัญของระดับ คือ level 50 ตัวบ่งบอกการเปลี่ยนทิศของแนวโน้ม การให้สัญญาณแบ่งออกเป็น 2 ระดับ 1. ดู cross over การตัดของเส้นทึบ fast(สีฟ้า) และเส้นประ slow (สีเหลือง)โดย เส้นทึบค่า  fast trailing stop  และเส้นประ คือค่า  slow trailing stop   ถ้าเส้นทึบ fast ตัดขึ้น หมายถึงการ ยกตัวของระดับราคา ถ้าเส้น slow ตัดลงหมายถึงการย่อตัวของระดับราคา 2
การเทรด CFD , Gold , forex และอื่นๆในตลาดต่างประเทศเราจะสามารถ เทรดผ่านโปรแกรมเทรดมาตรฐานแบบ Metatrader (MT4,MT5) ซึ่งเป็นแพตฟอร์มเปิดที่ได้รับความนิยมและใช้กันเป็นสากล ทำให้มีกลุ่มผู้ใช้และนักพัฒนามากมาย สร้างเครื่องมือวิเคราะห์ราคาสินค้าประเภทเทคนิคอล และมีการสร้าง algorithm สำหรับระบบเทรดอัตโนมัติ(Expert Advice) ให้เราได้นำมาทดลองใช้และศึกษา ในการพัฒนาระบบเทรดของเรา  วันนี้มาลองดูวิธีติดตั้ง Indicator ประเภทพิเศษเพิ่่มเติมจากเครื่องมือพื้นฐานที่มากับโปรแกรม  1. ดาวน์โหลด indicator จากเว็บที่เผยแพร่  โดยทั่วไป indicator จะเป็นไฟล์ประเภท .mt4 หรือ .mq4 2. เลือกไปที่ C:\Program Files\MetaTrader - exness\experts\indicators กรณีไม่ได้ใช้ exness ชื่อของโฟล์เดอร์ก็เปลี่ยนไปตาม โบรกเกอร์ของท่าน 3. copy ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาใส่ลงใน ไดเรกทอรี่ด้านบน 4. เปิดโปรแกรม Mt4 ไปที่ แถบ Toolsbox >> Costom indicators เลือก indicator ที่ท่านติดตั้ง แล้ว ลากเข้าไปวางในกราฟ หรือ Click ขวา >> Attach to a chart เมื่อติดตั้งสำเร็จ ได้เครื่องมือ
ที่ Babypips นาย Proximus มาตั้งกระทู้ถามเรื่อง RSI กับ Stochastic เขาบอกว่าเขาได้ทดลองใช้ Stochastic มาระยะหนึ่งแล้วสำหรับเขาแล้วมันได้ผลมาก ๆ เลยผมเทรดได้ตั้ง 7 ใน 10 ครั้งแนะ แต่ผมก็ได้ยินมาว่ามีอินดิเคเตอร์อีกตัวหนึ่งที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ RSI แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ลองใช้มันสักที นอกจากนี้ผมยังเห็นว่ากรอบ over ของ RSI มันต่างจาก Stochastic แค่ 10 เอง Stochastic ใช้ 80 20 แต่ RSI ใช้ 70 30 ผมไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยทำให้ RSI มันวิ่งสมูธขึ้นหรือทำให้สัญญาณกลับตัวมันช้าลงกันแน่ ผมเลยมาตั้งกระทู้นี้เพราะอยากได้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ 2 ตัวนี้ว่าอันไหนดีกว่ากันอันไหนแม่นกว่ากันเพราะมันทั้งคู่ใกล้เคียงกันมาก ระหว่างให้สัญญาณที่เร็วแต่มีโฮกาสหลอกบ่อย กับ วิ่งช้าลงสักหน่อยแต่มั่นใจมากขึ้น อันไหนดีกว่ากันครับ คุณ TheDayTrader เข้ามาตอบว่า ทั้ง Stochastic และ RSI เป็น Indicator ประเภทเดียวกันคือใช้วัดการแกว่งของราคาเหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะต่างกันเพียงนิดเดียวก็ตามแต่มันก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กันอยู่ผมแนะนำให้เลือกใช้เพียงตัวเดียวพอ แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็ลองใช้ทั้งคู่ไปก่อนก็ได้แล้วดูว่
เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก คือ  Pivot Point  เทรดเดอร์มืออาชีพ และ Market Maker นิยมที่จะใช้ Pivot point นี้มาเป็นเครื่องมือในการหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ที่อาจเกิดการกลับตัวของราคาได้ในระดับแนวรับแนวต้านนั้นๆ เราอาจเห็นว่า Pivot point นั้นมีความคล้ายคลึงกับ Fibonacci อยู่มากทีเดียว แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างก็คือการใช้ Fibonacci เราสามารถเลือกจุดสวิงสูงสุด และต่ำสุดได้ตามที่เราต้องการ แต่การใช้ Pivot point เราจะไม่สามารถเลือกสวิงได้ แต่เราจะใช้ค่าเดียวที่ได้จากการคำนวณ เจ้า Pivot point นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่กำลังมองหาความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในระยะสั้น สามารถใช้ในการเล่น Swing trade โดยใช้หาจุดกลับตัวของราคา รวมทั้งยังสามารถหาจุด Breakout ของราคา และ ยังใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นของแต่ละวันได้อีกด้วย ตัวอย่างหน้าตาของ  Pivot point การคำนวณหา  Pivot point การคำนวณ ระดับของ Pivot point และเส้นแนวรับ - แนวต้าน จะถูกคำนวณจากราคา  ราคาสูงสุด(H) , ราคาต่ำสุด(L) และ ราคาปิด (C) ของวันก่อนหน้านี้ และตั้