กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ thaiforexschool

บทความ

RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา  เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT)   หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลง RSI ประกอบไปด้วย 1. เส้น Moving Average 2. เส้นบอกบริเวณ Overbought Oversold (เส้น 30 และเส้น 70 ) Overbought และ Oversold คืออะไร? แล้วใช้ดูกับ RSI อย่างไร? OVERBOUGHT คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน” ซื้อ ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลง OVERSOLD คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน ” ขาย ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้น ผู้เทรดจะต้องมองเทรนหรือแนวโน้มของราคาให้ออกก่อนว่า ณ ขณะนั้นกราฟกำลังวิ่งเป็นเทรนอะไร เมื่อผู้เทรดสามารถระบุเทรนได้ชัดเจนแล้วก็ให้มองแต่ Over ของกราฟเทรนนั้น  ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เทรดเห็นว่ากราฟเป็นเทรนขาขึ้น ผู้เทรดก็ต้อ
Moving Average Convergence Divergence (MACD) MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็น ตลาดขาขึ้น หรือ ตลาดขาลง   ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้  MACD  เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ 1.เส้น Moving Average 2.แท่ง Histogram 3.เส้น Zero Line MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ 1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน 2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว 3. สภาวะที่กราฟกลับตัว สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (U
การหาเป้าหมายราคาด้วย  Fibonacci extension ต่อไปเราจะมาพูดถึงการหาราคาเป้าหมายด้วยการใช้ Fibonacci ซึ่งเราจะใช้   Fibonacci extension   การลาก Fibonacci extension นั้นแตกต่างจากการลาก Fibonacci Retracement อยู่นิดหน่อย เพราะเราต้องหาตำแหน่งวาง 3 จุด ตัวอย่างเช่น ถ้าราคาวิ่งเป็นเทรนขาขึ้น ปรกติเราจะทำกำไรจากการเข้าบาย และเราจะหาเป้าหมายราคาในขาขึ้นจาก Fibonacci extension โดยการวางตำแหน่งแรกของ Fib ไว้ที่สวิงโลว์ที่มีนัยยะ แล้วลากเม้าท์ไปที่สวิงไฮ แล้วคลิ๊กเม้าท์ และลากต่อมาที่จุดที่ราคามีการวิ่งมาทดสอบ ( Retracement ) เห็นได้ว่าแต่ละจุดที่เราวางนั้นมีความสอดคล้องกัน ลองไปดูตัวอย่าง USD/CHF กัน เห็นได้ว่าที่ระดับ Fib 50.0% เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจากราคาลงมาทดสอบถึง 3 รอบ แต่ไม่สามารถผ่านไปได้ และจากภาพตัวอย่างยังเห็นได้ว่าราคาวิ่งสูงขึ้นผ่านสวิงไฮด้วย ทีนี้เราก็มาหาเป้าหมายในการปิดทำกำไรบางส่วนด้วยการใช้ Fibonacci extension และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาลงมาพักตัวทำให้เกิดสวิงโลว์ ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปตลอดทางจนถึงระดับ 61.8% ซึ่งอยู่ใ
วันนี้อาจะออกดูพูดเรื่องส่วนตัวไปนิดนึงแต่ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์อย่างหน่งที่ผมได้จากเกมกระดาษนี้และก็เอามาปรับใช้กับการเทรดโดยไม่รู้ตัว หลาย ๆ คนคงรู้จัก “ไพ่” กันดีกระดาษที่มี 52 ใบประกอบด้วยตัวเลขที่เรียงจาก 2 ขึ้นไปจนถึง Ace มีดอกทั้งหมด 4 ดอกคือ ดอกจิก ข้าวหลามตัด หัวใจ(โพธ์แดง) และ โพธ์ดำ นั่นละครับ สำหรับคนไทยแล้วส่วนมากจะไม่ค่อยเล่นเกมส์นี้กันแต่สำหรับชาวตะวันตกแล้วเกมส์นี้ถือเป็นเกมส์ที่แพร่หลายมากจนถึงขั้นว่าบางคนทำเป็นอาชีพเลยทีเดียว หลาย ๆ คนนะจะเริ่มเดาออกแล้วว่าผมกำลังพูดถึง “โปกเกอร์ (Poker) ” นั่นเอง อธิบายหลักการของ Poker คร่าว ๆ ก่อนละกันนะครับ (ปล. ผมเขียนบทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์จะสนับสนุนไปเล่นพนันกันนะครับเพียงแต่ว่า โปกเกอร์กับการเทรดมีหลักจิตวิทยาบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน) โป๊กเกอร์นั้นมีอยู่ 2 ประเภทคือ โปกเกอร์ 5 ใบและ โปกเกอร์ 2 ใบ (Texas Hold’em Poker) หลักการคร่าว ๆ ของเกมนี้คือเราต้องผสมไพ่ของเราจากบนโต๊ะ (River) ให้ได้ระดับสูงที่สุดเท่าที่ไพ่เราที่แจกมาจะทำได้ ความสนุกมันอยู่ที่ทุกคนในโต๊ะสามารถผสมไพ่ของเขาจากบนโต๊ะเหมือนกับเราได้เช่นกัน แ
ทุนเทรดน้อยแต่อยากเทรดให้รวยทำไงดี      ข้อได้เปรียบที่คนเลือกมาเทรดในตลาด Forex เป็นที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเราสามารถเริ่มเทรดได้ด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ เช่นบางโบรกเกอร์สามารถเริ่มเทรดได้ตั้งแต่ 1$ เลยด้วยซ้ำ หลาย ๆ คนวาดภาพไว้ว่าตัวเองจะสามารถรวยได้จากเงินเพียง 100$ มีการบริหารจัดการทุนที่วางแผนออกมาเป็นอย่างดีเลยว่าถ้าเทรดไอย่างงี้ ๆ 4 เดือนได้เงินล้านแน่นอน แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่สมหวังไปตามที่คิดแม้ผมจะเห็นด้วยกับหลาย ๆ ท่านว่าเงินลงทุนมากน้อยก็สามารถลงทุนได้แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะเทรดเหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้ความจริงก็คือยิ่งเงินทุนเรามากเท่าไหร่     ความสบายในการเทรดก็จะมากขึ้นเท่านั้นเทียบง่าย ๆ เลยครับคนที่มีทุนเทรด $500 กับ $5000 lot ที่ลงก็ต่างกันอย่างเก็นได้ชัดความสบายก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวตีว่าวิ่งที่ระยะทาง 100pips เท่ากันและความเสี่ยง 10% เท่ากันพอร์ต 500 จะสามารถลงได้ 0.05 ในขณะที่พอร์ต 5000 จะสามารถลงได้ 0.5 lot 0.5 lot นี่จุดละ $5 แล้วนะครับด้วยระยะทาง 100pips เท่ากันพอร์ต 500 จะได้เงิน $50 ในขณะที่พอร์ต $5000 จะได้เงิน $500 ซ
    PIVOT POINT        สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เทรดในปัจจุบัน ถ้ากราฟไหนตรงเงื่อนไขนี้ผมก็มักจะใช้มันในการเทรด ไม่ยากครับวิธีนี้ ง่ายๆ แค่หาจุดกึ่งกลางราคาของราคาเมื่อวานนะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกะไอ้เจ้า Pivot กันก่อนนะครับ ว่ามันมีความสำคัญยังไง Pivot คือ ราคากึ่งกลางของช่วงเวลาที่เราวัด จากจุดสูงสุดถึงต่ำสุด (งงมั้ยครับ.. อิอิ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน..เอาเป็นว่าเข้าใจกันนะ) เราจะหา Pivot หรือจุดกึ่งกลางได้ยังไง จุด Pivot เราจะหากันจากกราฟของเมื่อวานนะครับ เราดูราคาสูงสุด ( High = H ) ราคาต่ำสุด ( Low =L )   และราคาปิด ( Close=C) เปิดกราฟ Daily นะครับ แล้วใช้เม้าท์ชี้ที่แท่งเทียน แล้วมันจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับราคาพวกนี้นะครับ           เห็น กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆกันมั้ยครับ ในนั้นจะบอกราคา Open ,High, Low, Close ครับ เราจะใช้ราคา High , Low , Close มาใช้ในการคำนวณเพื่อหา Pivot นะครับ     สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาค่า Pivot คือ     Pivot = ( High + Low +Close)/3    จุดกึ่งกลางเท่ากับ ราคาสูงสุด บวก ราคาต่ำสุด บวก ราคาปิด แล้ว
คุณ Lobo2010 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาได้ศึกษาเรื่องของแนวรับแนวต้านมาได้สักระยะหนึ่งแล้วและได้สร้างวิธีเทรดของตัวเองขึ้นมาโดยเข้าเทรดจากบริเวณแนวรับ แนวต้านเหล่านี้ แต่ปัญหาของเขาตอนนี้คือ เขาเห็นแต่แนวรับแนวต้านเต็มไปหมดตรงนั้นก็ใช่ ตรงนี้ก็ใช้ได้ มันทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตัดสินใจเลือกว่า แนวรับแนวต้านไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ เขาจึงอยากจะได้ความเห็นจากเพื่อน ๆ ร่วมเว็ปว่าควรเลือกแนวรับแนวต้านอย่างไรดี คุณ Moody เข้ามาตอบคนแรกเลยว่า สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดแต่ก็ยากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับเทรดเดอร์เลยก็ว่าได้ มันต้องใช้เวลาและประสบการณ์ใน การศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจมัน สำหรับเขาแล้วเขามีหลักการณ์ในการณ์พิจารณาแนวรับแนวต้านที่สำคัญดังนี้ สร้างโซนขึ้นมาในบริเวณที่ราคาเป็นเทรนและโซนที่ราคาปรับฐาน ตราบเท่าที่คุณยังสามารถแยกสองโซนนี้ออกจากกันได้ คุณจะเจอแนวรับแนวต้านที่เหมาะสมได้ แนวรับแนวต้านที่ราคาเคยทะลุได้เช่น บริเวณที่เคยเป็นแนวรับแต่ปัจจุบันเปลี่ยนแนวต้านเพราะราคาสามารถทะลุได้สำเร็จ พยายามมองหาบริเวณที่ราคาชอบหยุดหลาย ๆ ครั้งหรือไปต่อไม่ได้