4 เทคนิค Stop Loss แบบเทรดเดอร์ชั้นเซียน

ผมกล้าบอกได้เลยว่าการ Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญมากในการเทรด
เพราะอะไรรู้ไหมครับ !?
เพราะ การ Stop Loss นี่แหละครับ คือเครื่องมือที่ทำให้เราไม่ขาดทุนหนัก
เปลี่ยนการ ขาดทุน ไปเป็น ต้นทุน ในการทำธุรกิจการเทรด
ทำให้เราสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชัดเจน
และเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ชั้นเซียนทุกคน “พูดตรงกันว่าต้องมี” 
คุณจะทำกำไรได้ในระยะยาวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า คุณ Stop Loss เป็นหรือเปล่า
และสิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันทุกท่านในบทความนี้ คือ
เทคนิคการ Stop Loss ที่เหล่าเทรดเดอร์ชั้นเซียนใช้ครับ!!
ในตลาด Forex ที่การเทรดมีการใช้ Leverage ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ในทางกลับกัน การขยับผิดไปจากที่เราคิดไว้ ก็สร้างการขาดทุนมหาศาลให้เราได้เช่นกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ 1 ในเทรดเดอร์ชั้นเซียนที่กล่าวถึงการ Stop Loss ได้ดี ก็คือ Bennett McDowell ผู้เขียนหนังสือ A Trader’s Money Management System: How to Ensure Profit and Avoid the Risk of Ruin ผมแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกท่านลองไปหาอ่านกันดูครับ เขากล่าวว่า…
เมื่อไรที่คุณเทรดโดยไม่มี Stop Loss ก็เหมือนกับการที่คุณกำลังขับรถไปยังจุดหมาย โดยไม่มีเบรค!!
ลองคิดภาพตามดูครับว่า…ถ้าคุณขับรถแล้วคุณไม่มีเบรคให้ใช้ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง คำตอบที่ได้ ผมคงไม่ต้องบอกนะครับ
ในเมื่อเทรดเดอร์อย่างเรา ๆ รู้ถึงความสำคัญของเครื่องมือหยุดการขาดทุนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เทรดเดอร์หลายต่อหลายคนยังเข้าใจผิดเรื่องเทคนิคการ Stop Loss ยังมีอยู่มาก ทำให้พวกเขายังได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ และสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เป็นเทคนิคที่ผมศึกษา จากเทรดเดอร์ชั้นเซียนหลาย ๆ คน ทั้งจากหนังสือและเว็ปไซต์ต่างประเทศ ที่เทรดเดอร์ชั้นเซียนหลาย ๆ คน นำมาแบ่งปัน และนำมาทดลองใช้กับตัวเอง ซึ่งพบว่าได้ผลดี จึงนำมาแบ่งปันทุกท่านกัน และ นี่คือ 4 เทคนิค Stop Loss แบบเทรดเดอร์ชั้นเซียน ครับ
ก่อนจะไปพบกับ 4 เทคนิค Stop Loss แบบเทรดเดอร์ชั้นเซียน ถ้าคุณเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ Share บทความนี้ ให้กับเพื่อน ๆ ของคุณอ่านด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 

เทคนิคที่ 1 : ไม่กำหนด Pips แบบเดาสุ่ม เมื่อตั้ง Stop Loss

  • นี่คือข้อแรกที่สำคัญมาก แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ นั่นก็คือ การตั้ง Stop Loss ที่ดี ไม่ใช่การตั้ง Stop Loss โดยกำหนด Pips แบบเดาสุ่ม
  • การกำหนด Pips แบบเดาสุ่มเป็นยังไง ? อธิบายง่าย ๆ เช่น สมมติว่าเราเทรดคู่เงิน EURUSD แล้วกำหนดไปว่า ตั้ง Stop Loss ที่ 50 pips ละกัน โดยไม่มีที่มาที่ไปที่อธิบายได้อย่างมีเหตุผลว่าทำไมถึงตั้ง Stop Loss ที่จุดนี้ จากประสบการณ์ที่ผมเจอ คือ ทุกคนจะอธิบายตรงกันว่า “คิดว่าราคาไม่น่าจะวิ่งมาชนจุด Stop Loss นี้” ผมบอกได้เลยว่า “ความคิดนี้ผิดอย่างแรง!!”
  • ผมขอตอบเลยว่า ราคาวิ่งไปได้ทุกที่ ที่มันอยากจะไปครับ !! เพราะ นี่คือธรรมชาติของตลาด Forex ตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความคิดของคุณ (ที่ยังฝึกฝนมาไม่ดีพอ) ไม่มีทางชนะ พวกเทรดเดอร์ชั้นเซียนที่คุมเงินหลายล้านเหรียญได้!!
  • สิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ มันมีวิธีที่ดีกว่า การตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่ม ครับ ซึ่งผมจะอธิบายในหัวข้อถัดไป แต่ผมอยากให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ จำให้ขึ้นใจเลยว่า…อย่าตั้ง Stop Loss เพราะ ตัวเองคิดว่า… เด็ดขาดครับ จุด Stop Loss ที่คุณตั้ง ต้องมีเหตุผล อธิบายได้ ไม่ใช่เกิดจากการคาดเดา ที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ ไม่งั้นคุณจะโดน Stop Loss บ่อย จนขาดทุนหนักแล้วจิตคุณจะตก จนไม่มี Focus ในการเทรดเลยครับ
  • ทำไมผมถึงรู้ข้อนี้และเอามาแบ่งปันทุกท่าน ? เพราะ เมื่อก่อนผมเคยเป็นครับ เวลาผมเข้าเทรด ผมจะตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่มเอง และ คิดเอาเองว่า ราคาไม่น่าจะวิ่งมาถึง จุดที่ตั้ง Stop Loss แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นเช่นนั้นเลย ราคาวิ่งมาถึงเสมอ!!
  • ผมจึงไปศึกษาค้นคว้าว่า…เทรดเดอร์เก่ง ๆ เขามีหลักคิดการตั้ง Stop Loss กันยังไงนะ จนได้คำตอบ และ ผมก็ลองนำแนวคิดนั้นมาใช้ พบว่า…มันมีข้อดีหลาย ๆ อย่าง ซึ่งผมจะกล่าวในหัวข้อถัดไปครับ

เทคนิคที่ 2 : ให้ตลาดเป็นตัวกำหนดจุด Stop Loss 

  • ถ้าไม่ให้ตั้ง Stop Loss แบบเดาสุ่มเอาเอง แล้วต้องตั้งยังไงอ่ะ !? ผมว่านี่คงเป็นคำถามคาใจของเทรดเดอร์หลาย ๆ คน
  • คำตอบก็คือ คุณต้องให้ตลาดเป็นตัวกำหนดจุด Stop Loss ครับ ตลาดจะเป็นตัวบอกคุณเองว่า คุณควรจะตั้งจุด Stop Loss ตรงไหน เพราะ คุณต้องไม่ลืมว่า ราคาที่เคลื่อนไหวในตลาด ก็คือ ผลจากการกระทำของเทรดเดอร์คนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทรดเดอร์รายใหญ่ ๆ ที่มีจำนวนเงินมากกว่าเราหลายเท่ามาก
  • ทีนี้เมื่อคุณรู้แล้วว่า แนวคิดของเทรดเดอร์เก่ง ๆ คือ การตั้ง Stop Loss ตามจุดที่ตลาดบอก สิ่งที่คุณจะพบเหมือนผมข้อแรกก็คือ คุณจะโดน Stop Loss น้อยลง หรือ โดน Stop Loss ยากขึ้น และ คุณจะยังมี Order ที่เปิดถูกทาง (แต่ไม่โดน Stop Loss) มากขึ้นครับ
  • นี่แหละครับ คือ ข้อดีของการให้ตลาดเป็นตัวบอกว่าเราควรจะตั้ง Stop Loss ตรงไหน
  • แต่ประเด็นก็คือ แล้วไอ้ที่บอกว่า ตั้ง Stop Loss ตามจุดที่ตลาดบอกนี่ล่ะ มันคืออะไร ไม่เห็นเข้าใจ!!?
  • ตอนที่ผมไปค้นคว้าจากเทรดเดอร์เก่ง ๆ แรก ๆ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนทุกท่านนี่แหละครับ งง มาก ว่ามันคืออะไร
  • แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบครับ คำตอบนี้ผมนำมาลองใช้เองก็พบว่ามีข้อดีหลายอย่างมาก
  • แนวคิดของเทรดเดอร์ชั้นเซียนที่ว่า “ให้ตลาดเป็นตัวกำหนดจุด Stop Loss ก็คือ ตั้งตามแนวรับ-แนวต้าน นั่นเองครับ!!”  
  • แนวรับ-แนวต้าน นี่แหละครับ คือ ร่องรอยจากการกระทำที่เทรดเดอร์คนอื่น ๆ ทำไว้ เป็นจุดที่เทรดเดอร์เหล่านั้นตัดสินว่า “จะไม่ให้ราคาวิ่งเกินจากจุดนั้น” หากเราเข้าใจข้อนี้ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นมากครับ (สำหรับใครที่ยังหาแนวรับ-แนวต้านไม่คล่อง ผมแนะนำบทความ 3 เทคนิคอ่าน “แนวรับ-แนวต้าน” ให้แม่นด้วย Price Action ครับ)
  • ทำไมชีวิตถึงง่ายขึ้น ? เพราะ คุณสามารถใช้จุดเหล่านี้ เป็นจุดตั้ง Stop Loss ได้เลย โดยที่ไม่ต้องคาดเดาเอาเอง (เพราะตลาดบอกไว้อยู่แล้ว)
  • เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาดูตัวอย่างการตั้ง Stop Loss ที่แนวรับ-แนวต้าน กันชัด ๆ ครับ


  • จาก 2 รูปข้างบน จะเห็นว่าพอเกิด Pin Bar ที่แนวรับ และ แนวต้าน Pin Bar ที่เกิดจะแทงทะลุ แนวรับ-แนวต้าน นั้น เราสามารถตั้ง Stop Loss เหนือ High ของ Bearish Pin Bar เล็กน้อย (กรณี Sell Order) และ ตั้งต่ำกว่า Low ของ Bullish Pin Bar เล็กน้อย (กรณี Buy Order) จะเห็นว่า Stop Loss ที่ตั้งนั้น เลยจุดที่เป็น แนวรับ-แนวต้าน ไปแล้ว และ เราก็ไม่โดน Stop Loss แต่อย่างใด เมื่อราคาพุ่งไปยังทิศทางนั้น

เทคนิคที่ 3 : Risk : Reward ต้องมาก่อน 

  • เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องสำคัญที่เทรดเดอร์อย่างเรา ๆ ต้องรู้เลยครับ เพราะ จากประสบการณ์ที่ผมศึกษาทั้งแนวคิดและวิธีการเทรดของเหล่าเทรดเดอร์ระดับโลก ไม่มีคนไหน ไม่พูดถึงเรื่อง Risk : Reward เลย แม้แต่คนเดียว!!
  • Risk : Reward แปลเป็นไทยว่า ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง มักเทียบเป็น จำนวนเท่าของความเสี่ยง เช่น หากพูดว่า Order นี้มี Risk : Reward ที่ 1:2 หมายความว่าถ้า Order นั้น ชนะ จะได้กำไรเป็น 2 เท่าของความเสี่ยง โดย Risk : Reward ย่อว่า RR
  • แล้ว Risk หาจากไหน ? Risk นั้นมักจะเป็นจำนวนเงินที่ได้จากแนวคิดเรื่อง Money Management ครับ ซึ่งเราเรียกว่า R Value หรือ Risk per Trade เช่น พอร์ต 10,000 $ มี Risk per Trade = 500 $ หมายความว่าทุกครั้งที่เทรดจะเสี่ยง เท่ากับ 500 $ เสมอ สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจเรื่อง R Value ผมแนะนำบทความ 4 หัวใจสำคัญของ Money Management ครับ ผมเขียนอธิบายเรื่อง R Value ไว้แล้ว
  • แล้วเทรดเดอร์อย่างเรา ๆ ควรจะตั้ง RR เท่าไร ? เทรดเดอร์ระดับโลกแนะนำว่า คุณไม่ควรตั้ง Risk : Reward ต่ำกว่า 1:2 ถ้าคุณอยากทำกำไรได้ในระยะยาว หมายความว่า ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ในแต่ละ Order ของคุณ ไม่ควรต่ำกว่า 2 เท่า ของความเสี่ยง
  • ตัวอย่างเช่น พอร์ต 10,000 $ R = 500 $ ถ้าตั้ง Risk : Reward ที่ 1 : 2 แปลว่า ทุกครั้งที่คุณเสี่ยง 500 $ คุณมีโอกาสได้เงิน 1,000 $ (2 เท่าของ 500 $) การคิดในทำนองนี้ ทำให้เราควบคุมผลตอบแทนและความเสี่ยงได้ง่ายขึ้นมาก ถ้าคุณลองนำมันไปใช้คุณจะรู้ทันทีว่า “ชีวิตคุณง่ายขึ้นเยอะ”  
  • การตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเราต้องคำนึงถึง Risk : Reward เสมอ เพราะ ถ้าจุดที่ตั้ง SL ไกลเกินไปจะทำให้ RR ต่ำลง ราคาต้องวิ่งไกลจึงจะ Take Profit ตามที่เราต้องการ เมื่อราคาต้องวิ่งไกลโอกาสถึงจุด Take Profit ก็จะน้อยลง
  • ดังนั้น การตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง ทั้งจุดเข้า จุดออก และจุด Stop Loss ต้องสัมพันธ์กัน พูดง่าย ๆ คือ คุณต้องวางแผนทุกอย่างไว้ก่อนเข้าเทรดแล้วนั่นเองครับ 
  • เรามาดูตัวอย่าง การวางแผนตาม Risk : Reward กันครับ

  • จากรูป เมื่อเกิด Pin Bar Signal ที่ แนวต้าน แล้ว เราตั้ง Stop Loss เหนือ High ของ Pin Bar เพื่อให้เลยจุดที่เป็น แนวต้าน ขึ้นไป (เป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตลาดบอก) และจะเห็นว่า จุดเข้า (Entry) และ จุด Stop Loss นั้นห่างกันมากพอที่จะไม่โดน Stop Loss (สังเกตุจากแท่งเทียนถัดมาที่เข้ามาใกล้ จุด SL แต่มาไม่ถึง)
  • ในรูปจะเห็นได้ชัดเจนว่า หากจุด SL ห่างกับจุดเข้า จะส่งผลให้ระยะ Risk : Reward นั้นกว้างขึ้น เพราะ ช่วงของ Risk นั้นมีผลต่อช่วงของ Reward ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เหตุผลก็เพราะ เรานับเป็น จำนวนเท่า นั่นเองครับ เพราะฉะนั้น ไม่ว่า Risk จะเป็นกี่ Pips จุด Take Profit จะห่างออกไปเป็น จำนวนเท่า ของระยะ Pips ที่ตั้งไว้

เทคนิคที่ 4 : Risk:Reward, Stop Loss และ Position Size รวมเป็นหนึ่ง

  • มาถึงเทคนิคสุดท้าย เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ Method (วิธีที่คุณใช้เทรด) รวมกับ Money Management ได้อย่างลงตัว
  • ถึงแม้เราจะรู้วิธีเทรดอย่างชำนาญ แต่หากไม่มีการนำ เทคนิคการบริหารพอร์ตมาใช้ ก็ยากที่จะเทรดได้กำไรในระยะยาว (ซึ่งส่วนใหญ่จะเจ๊งก่อนตลอด) เพราะ เราไม่รู้ว่า เราต้องเปิดกี่ Lot เพื่อให้เหมาะสมกับ ความเสี่ยงที่กำหนดไว้  
  • เทคนิคนี้จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่เทรดเดอร์ชั้นเซียนบอกว่า ใช้เสมอ !! วิธีนี้จะทำให้คุณเปลี่ยนการนับ ผลตอบแทน จาก เป็น Pips หรือ เป็นจำนวนเงิน ไปเป็น Risk : Reward ได้
  • แล้วทำยังไง ? เรามาดูวิธีกันครับ ขั้นแรกเลยคุณต้องมี R Value ประจำตัวก่อน เพราะ R Value นี้จะนำไปใช้ในทุก ๆ Order ที่คุณเปิดว่า คุณต้องเปิดกี่ Lot หากตั้ง Stop Loss ณ จุดนั้น
  • มาดูตัวอย่างกันครับ พอร์ต 10,000 $ R = 500 $ สมมติว่า คุณจะเปิด Order คู่เงิน EURUSD เพราะ เจอ Bullish Pin Bar Signal เกิดที่ แนวรับ พอดี คุณหาจุดเข้า (Entry) จุดออก (Exit) และ จุด Stop Loss เรียบร้อยแล้ว และพบว่า ระยะระหว่าง จุดเข้า กับ จุด Stop Loss ห่างกัน 1,000 จุด (100 pips)
  • เราจะรู้ว่าต้องเปิดกี่ Lot คำนวณได้ตามสูตรนี้ครับ จำนวน Lot ที่จะเปิด = R Value / Stop Loss Points
  • จากตัวอย่างข้างบน จำนวน Lot ที่จะเปิด = 500 $ / 1,000 Points = 0.5 Lot นั่นเองครับ

สรุป การ Stop Loss เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราไม่ขาดทุนหนัก ทำให้เราสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ชั้นเซียนทุกคน “พูดตรงกันว่าต้องมี” คุณจะทำกำไรได้ในระยะยาวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า คุณ Stop Loss เป็นหรือเปล่า และสิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันทุกท่านในบทความนี้ คือ เทคนิคการ Stop Loss ที่เหล่าเทรดเดอร์ชั้นเซียนใช้ครับ!! ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ผมรับรองว่า ชีวิตคุณจะง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะ ทั้ง 4 เทคนิคเป็นสิ่งที่ผมค้นคว้าและศึกษามาจากเทรดเดอร์หลาย ๆ คน ลองนำมาทดลองใช้เองและพบว่า มันเป็นวิธีที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ได้ผลจริง (เพราะ จริง ๆ แล้วมีวิธีการ Stop Loss หลากหลายมาก ๆ) สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านที่ติดตาม Znipertrade.com โชคดีมีกำไรนะครับ

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ