Part 13 : การควความรู้สึกของบคุม


ผู้ค้าบางคนเข้ามาหาผมด้วยความโกรธและหัวเสีย บางคนอยู่ในอาการหดหู่ กังวลหรือสับสน สิ่งที่พวกเขาเผชิญร่วมกันคือความรู้สึกของการสูญเสียการควบคุมอันเนื่องมา จากการค้าของพวกเขา เราลองมาคิดดูในแง่ที่ว่า ถ้าคนบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจในการควบคุมบางสิ่งบางอย่างในชีวิต พวกเขาก็จะไม่มีทางรู้สึกหดหู่หรือกังวลกับสิ่งใดเลย ถ้าผมมีการควบคุมสุขภาพร่างกายที่ถูกต้องตามสุขลักษณะอยู่เสมอ ผมก็จะไม่พบกับความเจ็บป่วยหรือโรคภัยใดๆ ถ้าผมมีอำนาจในการควบคุมงบประมาณครอบครัว ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนความเครียด เป็นความเจ็บปวด คือ การรับรู้ว่าเราไม่สามารถควบคุมบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญต่อสภาพความ เป็นอยู่ที่ดีได้ ถ้าผมไม่สามารถมีอำนาจควบคุมชีวิตการแต่งงาน สุขภาพหรืออาชีพของผมแล้ว ผลลัพธ์อย่างแรก คือ ผมจะรู้สึกลำบากใจกับความสงสัยและความไม่แน่นอน ถ้าผมยังขาดการควบคุมสิ่งสำคัญอื่นๆ ในชีวิตอีก ความกังวลก็จะกลายเป็นความหดหู่ ความคิดที่ว่า “ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้” จะกลายเป็น “ผมรู้ดีว่าผมไม่สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้”

เป้าหมายอย่างแรก คือ ความสามารถในการควบคุม สิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันทันทีกับทุกๆ ด้านของชีวิต แต่คุณจะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นเมื่อคุณมองโลกในแง่ดีและมีความกระตือรือร้น นักจิตวิทยานามว่า Martin Seligmanกล่าวว่า ความหดหู่มาจากการเรียนรู้ภาวะของความสิ้นหวังซึ่งเป็นภาวะที่ไร้อำนาจ ตามปกติการใช้อำนาจส่วนบุคคลจะขจัดความรู้สึกสิ้นหวังนี้ไปได้เอง

กลยุทธ์ตามลำดับขั้นเพื่อให้มีอำนาจในการควบคุม เป็นความมุ่งมานะระยะยาว ผู้คนหลายคนที่จุดไฟจุดพลุกันช่วงปีใหม่ โดยหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปีหน้าอาจจะควบคุมเป้าหมาย ใหญ่ๆ เพียงเพื่อที่จะพบว่าตนเองรู้สึกหัวเสีย เพราะไม่สามารถทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ในเร็ววัน ดังนั้น จึงเป็นดีกว่าที่จะกำหนดเป้าหมายให้เล็กลง และเป็นเป้าหมายที่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ง่ายๆ ที่คุณสามารถสร้างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีเพื่อรับรู้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ความพยายามที่จะควบคุมการแสดงออกถึงความมุ่งมานะในการต่อสู้ คือ ความพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ ครอบงำคุณ แม้ว่าความพยายามจะไม่ส่งผลให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งโดยปกติมันมักเป็นเช่นนั้น แต่ถือได้ว่าสิ่งนี้คือกุญแจดอกหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่า

ตัวอย่างหนึ่งจาก Lance Armstrong ในหนังสือชื่อ It’s Not About the Bike เขาได้อธิบายรายละเอียดว่า เขาเป็นโรคมะเร็งลูกอัณฑะซึ่งเกิดจากอาชีพนักขี่จักรยานของเขา ข่าวร้าย คือ เขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังสองของเขา แม้ว่านักจิตวิทยาที่มองโลกในแง่ดียังสรุปว่า อาการของเขาแย่มากๆ และหลายคนบอกว่าอาชีพของเขาจะต้องจบลง เนื่องจากการบำบัดด้วยสารเคมีจะไปทำลายปอดของเขานั่นเอง

ในช่วงแรก Armstrong ควบคุมชีวิตของเขาด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรคนี้ เขากลายเป็นคนไข้ที่ให้ความร่วมมือในกระบวนการบำบัดได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เป็นคนไข้ที่ทำตามที่หมอสั่งโดยไม่มีความรู้ใดๆ ความรู้ที่เขาได้รับช่วยให้เขารวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อคอยช่วยเหลือในระหว่างการรักษาของเขา โดยรวมไปถึงนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อเขามีตัวเลือกสำหรับผู้ที่จะมาให้การบำบัดรักษา เขาเลือกนักฟิสิกส์ที่เข้าใจความรักในการขี่จักรยานของคนไข้และค้นหาการ บำบัดด้วยสารเคมีที่จะไม่ทำลายปอดของเขา ระหว่างดำเนินกระบวนการทางเคมี เขาปฏิเสธที่จะนั่งรถเข็นสำหรับผู้ป่วย แต่เขาเลือกที่จะเดินด้วยตัวของเขาเอง เมื่อพยายามให้ยาสำหรับปอดเพื่อทดสอบความจุปอด เขาจะเป่าด้วยความโกรธและบอกพยาบาลว่าไม่ต้องให้ยานี้อีก เขาไม่ได้ยอมแพ้ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ต่อโรคนี้ ด้วยการเริ่มจากควบคุมสิ่งเล็กๆ ไปยังสิ่งที่ใหญ่กว่า

การหาทางควบคุม
ถ้ามี “มะเร็ง” หรือปัญหาในชีวิตหรือการค้าขายของคุณ สิ่งนี้อาจจะยากพอๆ กับกรณีโรคร้ายของ Lance แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ต่างกันก็ตาม เพราะปัญหาไม่ได้สิ่งจะหมดไปข้ามคืนและอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย อย่างไรก็ตาม การควบคุมของคุณมาจากการปฏิเสธที่จะให้โชคชะตากำหนดตัวคุณ คุณสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่เป็นไปได้สำหรับอุปสรรคในการค้าของคุณในแบบ เดียวกันกับ Lance ที่ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็ง ดังนั้น คุณต้องเป็นตัวกระทำที่กระตือรือร้นในการพลิกฟื้นตัวคุณเอง ซึ่งการทบทวนผลลัพธ์ทางการค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนของคุณจะทำให้คุณทราบว่า คุณได้เงินมาจากส่วนไหนและเสียเงินไปกับส่วนไหน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง บ่อยครั้งที่คุณจะพบว่าการกลับไปตรวจสอบสิ่งต่างๆ จะทำให้คุณทราบถึงความแตกต่างยามที่การค้ารุ่ง และตกต่ำ เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณต้องเน้นความสนใจไปยังจุดบกพร่องของช่วงเวลาที่การค้า ไม่ราบรื่น หรือมีปัญหา เพราะนั่นจะทำให้ตระหนักว่าคุณจะต้องแก้ไขปัญหาตรงจุดไหน และคุณจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร มากไปกว่านั้นคุณยังต้องให้ความสนใจกับช่วงเวลาที่การค้าเจริญรุ่งเรืองอีก ด้วย เพื่อค้นหาคำตอบว่าคุณเอาชนะคู่แข่งทางการค้าได้อย่างไร สิ่งใดคือ ความแตกต่างระหว่างช่วงเวลาเหล่านี้ อะไรคือสิ่งที่คุณคิดต่างกัน และคุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำต่อไปได้หรือไม่

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ค้าคนหนึ่งที่ผมทำงานด้วยรู้สึกท้อแท้กับการค้าของเขา เขารู้สึกว่าเขามีปัญหาทางการค้ามากมาย และเขาจำเป็นต้องไปทำมาหากินอย่างอื่นแทนอาชีพนี้ เมื่อพวกเราตรวจสอบประวัติการค้าขายของเขาแล้วพบว่า เขาได้ทำการค้าโดยยึดถือรูปแบบเดียวมาตลอด อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะสูญเสียเงินไปกับวันที่ไร้ทิศทาง หรือไม่มีแนวโน้มแน่นอน อันเป็นวันที่เขาเริ่มต้นได้แย่ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว นอกจากนี้ เขายังได้เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ จนถึงตอนกลางวันและต้องเผชิญกับโอกาสอันน้อยนิด ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ การขาดทุนและความสูญเสียมากมาย กลยุทธ์เริ่มต้นที่พวกเราเสนอเกี่ยวกับการควบคุมนั้นง่ายมาก นั่นคือ การแบ่งการค้าในช่วงเช้าและช่วงกลางวันให้แยกส่วนออกจากกัน และกำหนดความสูญเสียสูงสุดที่รับได้ในแต่ละส่วนไว้ ซึ่งระดับดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นส่วนที่ค่อนข้างมากพอที่จะช่วยให้เขาทำการ ค้าได้ตามปกติ แต่อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยป้องกันเขาจากการพลิกฟื้นจากการเริ่มต้นวันที่ แย่ได้ ท้ายที่สุด เราได้สร้างกฎเกณฑ์ว่า ขนาดตำแหน่งเริ่มต้นของเขาไม่ควรเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสูงสุดหากเขาไม่มีความพร้อมเรื่องเงิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาสามารถใช้ปริมาณสูงสุดได้ต่อเมื่อเขาค้าขายได้ดีเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการเอาคืนหรือแก้แค้น นอกจากนี้ ผมยังได้ช่วยเขาตรวจสอบกฎเกณฑ์ต่างๆ อีกด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขาเริ่มมีพฤติกรรมทางการค้าที่ดีขึ้น ไม่ต้องพบเจอกับวันที่ขาดทุนมหาศาลอีก และได้เห็นผลลัพธ์ของตัวเองในบรรทัดสุดท้าย ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกมั่นใจและความสามารถในการควบคุมมากขึ้นด้วย

ตัวอย่างข้างต้นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสักเท่าไรสำหรับผู้ค้าที่ดีที่อยู่ในช่วงตกต่ำ ซึ่งสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาอันท่วมท้น นั่นก็คือ รูปแบบการค้าขายแบบเดียวกันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบที่แตกต่างกัน ออกไปและในช่วงเวลาที่ต่างกัน ถ้ารูปแบบนี้เปลี่ยนแปลง เราก็จะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจด้วย เนื่องจากรูปแบบการค้าเช่นนี้ถือเป็นปัญหาในการค้าขาย หาใช่ความสามารถพื้นฐานในการทำการค้าไม่ ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการบรรลุการควบคุมคือการสร้างรูปแบบใหม่ โดย เรียนรู้ทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อที่คุณจะได้หาวิธี การช่วยเหลือที่ถูกต้องและได้พบกับคนที่เหมาะสมที่พร้อมจะช่วยเหลือคุณ ขั้นตอนแรกนั้นไม่มีอะไรมากกว่าไปการหยุดทำในสิ่งที่ไม่สามารถก่อให้เกิดผล สำเร็จ และหันกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้ดี สิ่งนี้จะทำให้กระบวนการดำเนินการได้ดีขึ้นในแง่ของจิตวิทยา เนื่องจากเมื่อผู้ค้าเริ่มพลิกฟื้นตัวเองและสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะตระหนักรู้ได้ว่า “ปัญหานั้นคือรูปแบบของผม (การซื้อขายมากเกินไป) ผมก็จะบอกตัวเองว่า ผมนี่แหละคือปัญหา”

ลองแยกตัวคุณออกจากปัญหาของคุณก่อนในขั้นแรก เพื่อก้าวสู่การมีอำนาจควบคุม โดยในบทความถัดไปนี้ เราจะมาพูดคุยถึงขั้นตอนต่อไปกันครับ

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ