บทความ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับอีเมล์ที่มีคำถาม ที่ทำให้คิดถึงมุมมองเก่าๆ ของผม, เนื้อหาคือ ทำไมมีเทรดเดอร์ ต่อต้าน การ break out หรือ เทรดสวนเทรน แม้ว่ามันเห็นชัดมาก ? บางครั้งผมเห็น เทรดเดอร์ ปฏิเสธที่จะเข้าออเดอร์ ตอนที่ทะลุ Low เดิม เพียงเพราะว่า “ฉันไม่อยากจะขายที่ Low”, ที่แย่กว่านั้นคือ เทรดเดอร์ทื่ถือออเดอร์ที่ต้านเทรนอยู่ เพราะพยายามเชื่อว่า “มันจะต้องกลับมา” หรือ “ตลาดกำลังถูกปั่นจากเจ้า” งานนี้ต้องย้อนกลับไปถึงพื้นฐานการเทรด Volume จะบอกคุณว่าเทรดเดอร์ และนักลงทุน กำลังยอมรับราคา ณ เวลานั้นๆ, ถ้าตลาดตลาดกำลังเทรดอยู่ในช่วงราคาแคบๆ มาระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นทะลุขอบบนของช่วงราคาไป ด้วย Volume มากๆ, มันหมายถึงว่า ตลาดได้ยอมรับราคาที่สูงขึ้นเรียบร้อย, สมมุติว่า คุณเป็นเจ้าของชิ้นงานศิลปะ ในงานประมูล พอเริ่มประมูลก็พบว่า มีผู้ประมูลจำนวนมาก เสนอราคาประมูลสูงๆ และเสนออย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน, ณ  ตอนนั้น ที่คนกลังเริ่มรุมประมูล คุณควรเข้าใจว่า ชิ้นงานศิลปะของคุณ ยังไม่ถึงราคาขายที่ดีที่สุด ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า คุณไม่ควรจะขายงานศิลปะของคุณให้กับ กลุ่มผู้ประมูลกลุ่มแรกๆ ที
นักเทรดท่านหนึ่งเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาด เขาโดดขึ้นเข้าออเดอร์ซื้อทันที ผมสังเกตจากปริมาณที่เขาซื้อก็พอบอกได้ว่า เขาเข้าซื้อเพราะเขาเห็นโอกาสที่จะ Break High สูง, แต่หลังจากเข้าซื้อแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้, ราคากลับย่ำอยู่กับที่ ไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วก็หักหัวลง, เทรดเดอร์ท่านนั้น โดดออกจากออเดอร์ทันทีโดยเสียไป 1 ช่องราคา เขาหันมาบอกผมว่า “ฉันเพิ่งจ่ายค่าซื้อข้อมูลไป” จากนั้นอีกหลายนาทีต่อมา ราคาเด้งขึ้นอีกครั้ง สูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ Volume นั้นน้อย ไม่มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่ฝั่ง Long, เทรดเดอร์ท่านนั้นก็ Sell อย่างหนัก และได้กำไรมาหลายจุดอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้สอนไว้ว่า, ครั้งแรกเขาได้เข้าเทรด (ซึ่งเป็นการเข้าที่ดี) แต่ปรากฏว่าไม่ได้ดีอย่างที่คาดไว้ เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นความเสียหาย ความล้มเหลว หรือภัยคุกคาม, เขามองว่าเป็นแค่การซื้อข้อมูล, ตลาดกำลังบอกเขาว่า ราคาคงไม่สามารถเอาชนะ High เดิมได้จริงๆ เขาเข้าออเดอร์แรก และออกจากออเดอร์ แล้วใช้ออเดอร์ที่แพ้เล็กๆ นั้น ในการเตรียมตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งออเดอร์อันต่อมาซึ่งชนะ, นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่อง “จิตวิทยาการเท
ไม่จำเป็นต้องเก๋าเรื่องหุ้น ขอแค่เจอทางถนัด เท่านี้ ก็คว้าแชมป์ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ได้ไม่ยาก 'พรชัย ตั้งจริยภรณ์ & ปิยมาศ รักขพันธ์' สองผู้ชนะ 'เล่นหุ้นไม่ถึงปี ก็คว้า 'สุดยอดซุปเปอร์ เทรดเดอร์ซีซั่น1' ได้'  ใครจะเชื่อว่า  'บิ๊ก-พรชัย ตั้งจริยภรณ์'  ชายหนุ่มวัย 25 ปี ในฐานะแชมป์ผู้พิชิตเงินรางวัล 1 ล้านบาท จะใช้เวลาเรียนรู้เรื่องการลงทุนเดย์เทรดเพียงไม่กี่เดือน ก่อนลงสนามแข่งขันโครงการ  'ค้นหาเทรดเดอร์มืออาชีพ' (Super Trader Thailand) เบื้องหลังสุดยอดแห่งความสำเร็จในครั้งนี้  'ผู้ชนะ'  ยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับชายชื่อ  'เบียร์-วนนท์ วรรณป้าน'  นักลงทุนรุ่นพี่ ผู้ชักชวนบิ๊กเข้าวงการเดย์เทรด ทว่า  'หนุ่มเบียร์'  ไม่ได้เป็นเพียงกูรูคอยแนะนำเทคนิคการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นคนเข้ามาพลิกชีวิต  'หนุ่มบิ๊ก'  จาก 'เด็กแว้น'  สู่  'สุดยอดเทรดเดอร์'  ก่อนโชคชะตาจะผกผันคว้าเงินล้าน วิถีชีวิตประจำวันของ 'บิ๊ก'  คือ ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์กับแกงค์เด็กแว้น ทุกค่ำคืนเขาไม่เคยพลาดที่จะออกไปร่วมวง
(บทความนี้ไม่สนับสนุนการเล่นในรูปแบบการพนัน) Trade Training นอกจากจะนิยมฝึกโดยการเล่นโปกเกอร์(Poker) แล้ว อีกเกมส์หนึ่งที่นิยมใช้ฝึกเหล่าเทรดเดอร์นั่นคือ รูเล็ต (Roulette)   ข้อดี 1. ช่วยการตัดสินใจ - เรียนรู้การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลทางสถิติ ในการเบท (Bet) รูเลตในแบบฉบับของการฝึกเทรด จะไม่เบทไปแบบมั่วๆ ตามใจไปตามดวง แต่จะเบทโดยอ้างอิงหลักทางสถิติ  จำนวนครั้งการออกสูง/ต่ำ, ดำแดง, คู่คี่, โหล/แนว เป็นต้น ซึ่งก็เหมือนกับการนั่งมองดูกราฟราคานั่นเอง เมื่อกราฟราคาหรือสถิติออกมาเป็นแบบนี้ เราก็ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเบทข้างไหน โดยทั่วไปก็เหมือนกับ 3 ทางเลือกในการเทรด คือ Buy SELL หรือ Wait & See ในรูเลตก็เช่นเดียวกัน จะเบทข้างไหน หรือเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ ไปก่อน - เวลาจำกัด ต้องตัดสินใจเร็ว รูเล็ตในแต่ละตาจะมีเวลาจำกัดที่ให้ผู้เล่นตัดสินใจ เช่น 5 วินาที หรือ 10 วินาที  ดังนั้นผู้เล่นต้องตัดสินใจให้เร็ว  จุดนี้ฝึกเรื่องการตัดสินใจเฉพาะหน้าได้ดีมาก โดยเฉพาะเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่ ต้องกล้าตัดสินใจรวดเร็ว ในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด  ตรงนี้ช่วยแหลมเชาว์การตัดสินใจได้ดีทีเดียว
เราต้องมีหลายระบบ เพื่อปรับใช้ในแต่ละสถานการณ์(เห็นหลายๆสำนักมี2-3ระบบเพื่อใช้แต่ละสภาพตลาด) ซึ่งโดยส่วนตัวของคุณ คิดว่าเราควรจะมีหลายระบบมั๊ยครับ แล้วคุณ มีกี่ระบบที่ใช้สำหรับเทรดครับ ยอมรับว่าส่วนตัวมักจะ เปลี่ยนระบบไปมาเวลาขาดทุนซึ่งความเชื่อมั่นในระบบจะขาดหายไปแล้วต้องไปหาใหม่ ส่วนนึงอาจเป็นเพราะยังไม่เจอกลยุทธ์ทองคำที่เหมาะกับตัวเอง และอาจจะขาดประสบการณ์และความเข้าใจในการเทรดที่แท้จริง ขอบคุณครับ คำตอบ ในความเห็นผม ผมมองว่าทุกระบบดีหมด ถ้าผู้ใช้มีความคิดดีๆ ในการนำไปปรับใช้ ….. ในการมีหลายระบบในการใช้เป็นเรื่องที่ดีมากครับ สำหรับคนที่มีความเข้าใจตลาดและระบบที่นำไปใช้ แต่ควรจะเริ่มที่ละระบบ ไม่ควรเริ่มที่ละหลายๆระบบพร้อมกัน เพราะทำให้เราไม่เข้าใจลึกซึ้งในแต่ละระบบอย่างชัดเจน ….. ช่วงเริ่มต้น การเปลี่ยนไปมาเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นผมแนะนำเทรดเดอร์ที่เข้ามาตลาดใหม่ เสมอว่าควรเริ่มทดสอบด้วยเดโม่ หรือเงินทุนที่น้อยที่สุด เพื่อทำการทดสอบระบบ และผมย้ำเสมอ ยังไงก็ล้างพอร์ตแน่นอน ดังนั้นอย่าเอาเงินก้อนใหญ่ไปเสี่ยงเป็นอันขาด ในระหว่างการทดสอบนี้ ….. วนเวียน อยู่ในตลาดมา 5 ปี ระบบที่แม
หามาแจกให้เพื่อนๆลองไปทดลองใช้นะครับ Free Download Harmonic Patterns indicator.rar Harmonic.ex4 Free Download
Free Download RenkoMaker Pro.rar : RenkoLiveChart_v3.2 .ex4 ( Experts file ) MTF-TrendBar .ex4 RenkoMaker_Confirm .ex4 Signal.ex4 RenkoMaker Pro.tpl RenkoMaker Pro_Manual.pdf Free Download
หลักการของ 3M ประกอบไปด้วย Mind Set , Money Management , Method ไล่เรียงตามลำดับการให้ความสำคัญกันไป แล้วแต่เทรดเดอร์ท่านไหนจะให้เปอร์เซนต์แต่งต่างกันขนาดไหน ส่วนตัวผมให้ Mind Set 60% Money Management 30% Method 10% สำหรับอาชีพเทรดเดอร์พึงเสมอครับว่า " รักษาทุนให้ได้ อยู่รอดในตลาดให้ได้ก่อน แล้วกำไรจะตามมา" ข้อความสุดClassicไร้กาลเวลา Mind Set  กล่าวถึงจิตวิทยาการเทรด ทัศนคติในการเทรด ไม่หวั่นไหวกับหลุมพรางทางจิตวิทยาที่จะทำให้ขาดทุน ผมแนะนำ Mind Set ที่อยู่ในหนังสือตามนี้ครับ  จากหนังสือ  “A trader’s money management system” ได้มีการกล่าวถึง  “Mind set”  ที่ดีของเทรดเดอร์ไว้ดังนี้   1.  ไม่เอาเงินมาเป็นที่ตั้ง ( Not caring about the money) 2.  ยอมรับความเสี่ยงในการเทรดหรือลงทุนได้ ( Acceptance of the risk in trading and investing) 3.  ไม่ว่าเทรดได้หรือเสียก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ ( Winning and losing trades accepted equally from an emotional standpoint) 4.  สนุกกับการเทรด ( Enjoyment of the process) 5.  ไม่คิดว่าเรากำลังเป็นเหยื่อของตลาด ( No feeling of being victim
RSI ( Relative Strength Index )     วันนี้ผมจะให้มุมมองและวิธีการแปลความหมายเพื่อให้เราเข้าใจในความหมายของ RSI มากขึ้นว่าใช้บอกอะไรให้เราบ้าง       จากสูตรคำนวณ RSI = 100 – 100 /( 1+RS ) ค่า Defualt periods = 14       โดย RS ( Relative Strength ) = Average Gain / Average Loss ค่า Average Gain ก็คือ ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น( ปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า) ทุกๆวัน นำมารวมกัน แล้วหารด้วย 14 ค่า Average Loss ก็คือ ส่วนต่างราคาที่ลดลง ( ปิดต่ำกว่าราคาปิดวันก่อนหน้า) ทุกๆวัน นำมารวมกันแล้วหารด้วย 14       ยกตัวอย่างเช่น หากใน 14 วัน มีวันที่ราคาปิดเพิ่มขึ้น 7 วัน และลดลง 7 วันเท่ากัน    แต่ Average Gain มีค่ามากกว่า เช่น ค่าที่เพิ่มขึ้นใน 7 วันรวมกันได้ 8 บาท       และค่า Average Loss มีค่ารวมกัน ได้ 4 บาท         เมื่อนำเข้าสูตรเราจะได้ ค่า RSI = 100-100/(1 + 8/4 ) = 66.67      แล้วตัวเลขนี้บอกอะไรเราบ้าง ? 1. ค่า RSI >= 66.67 หมายถึงว่า ที่ผ่านมา 14 วันนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเทียบกับลดลง มีมากกว่า 2: 1 2. หากเส้น RSI ยังชี้ขึ้นหรือมีค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นหมายถึง Average Gain มีเ