บทความ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่อนี้เป็นชื่อที่สามารถการันตีความสำเร็จใน การทำธุรกิจของชายที่ชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นบุรุษที่เกิดก่อนสงครามโลก แต่กลับเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์ยุคดิจิตอล ปัจจุบันเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และนักธุรกิจรุ่น GEN-Y สมควรต้องศึกษาแนวทางในการดำเนินธุรกิจของบัฟเฟตต์ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ และความอดทนในการทำธุรกิจ เพราะทั้งสองสิ่งถือว่ามีความสำคัญมากหากอยากจะให้บริษัทของตนประสบความ สำเร็จในแวดวงนี้ โดยบัฟเฟตต์ถือคติในการทำธุรกิจที่อาจแปลเป็นสุภาษิตไทยได้ว่า “ช้าๆ แต่ได้พร้าเล่มงาม” นั่นหมายถึงมีความอดทนในการทำธุรกิจ ไม่เร่งรีบหรือหักโหมมากเกินไปนัก ค่อยทำกำไรทีละเล็กทีละน้อยและสะสมมูลค่าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ควรมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจซึ่งมีแนวโน้มในการสร้างกำไรระยะยาวมากกว่า ที่จะมองธุรกิจที่ให้กำไรมากแต่เป็นเพียงแค่ภาพมายาและมีวงจรที่สั้นมาก และให้พยายามเดินสวนกระแสในบางครั้งหากมีโอกาส นอกจากนี้ปรัชญาการใช้ชีวิตที่สมถะของเขาก็เป็นสิ่งที่ค
บิลล์ เกตส์ ประวัติของ บิลล์ เกตส์ โดยย่อเกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 อายุ 43 สัญชาติอเมริกัน สถานะแต่งงาน ลูก 2 สถานศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีเงิน 9 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐในประวัติ บิลล์ เกตส์นั้น เขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิ คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตันทั้งคู่ ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมาบิลล์ เกตส์ได้ เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1Bill Gate เรียนไม่จบ จริง แต
Geraldine Weiss Geraldine Weiss    เธอเป็นนักลงทุนที่เน้นหนักไปที่การจ่ายเงินปันผลของบริษัทเป็นอย่างมาก บทสัมภาษณ์ของ Geraldine Weiss ในนิตยสาร Forbes      คน ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเลขผลกำไรคือสิ่งที่กำหนดมูลค่า แต่บริษัทก็สามารถตบแต่งผลกำไรให้ผิดจากความเป็นจริงได้เสมอ ดังตัวอย่างแบบบริษัทเอนรอนเป็นต้น เงินปันผลต่างหากที่เป็นตัวเงินจริงๆ และเป็นจุดเด่นสำคัญของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง (blue chip stock) หากบริษัทใดไม่จ่ายเงินปันผล ก็เท่ากับเรากำลังเก็งกำไรจากราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว ดิฉันเชื่อมั่นในแนวคิดดังกล่าว และศึกษาประวัติของหุ้นหลายตัว จนได้ตระหนักว่าหุ้นแต่ละตัวมีรูปแบบการจ่ายเงินปันผลเฉพาะตัวแตกต่างกันไป บ้างก็จ่ายมาก บ้างก็จ่ายน้อย เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่หุ้นจ่ายเงินปันผลมากๆ นั่นเป็นเวลาที่เหมาะกับการซื้อหุ้น และเมื่อหุ้นจ่ายเงินปันผลน้อยลง นั่นก็ถือเป็นเวลาในการพิจารณาขายหุ้นออกไป         หลัง จากที่ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในหุ้นอย่างหนัก ดิฉันสังเกตเห็นว่าการจ่ายเงินปันผลมากหรือน้อยของหุ้นแต่ละตัวมักจะเกิด ขึ้นติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง หุ้นบางตัวอาจมีราคาต่ำกว่ามูลค่าเมื่ออัตรา
แอนโธนี่ โบลตัน โดย Club VI แอนโธนี่ โบลตัน  เป็นผู้จัดการกองทุนชื่อดังชาวอังกฤษ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักลงทุนที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักร แม้ ปีเตอร์ ลินช์ สุดยอดผู้จัดการกองทุนระดับตำนานยังยกย่องว่า โบลตันเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก โบลตันเกิดเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 1950 ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ประเทศอังกฤษ พ่อของเขาเป็นทนายความ และได้เลี้ยงดูฟูมฟักลูกชายในแบบของผู้ดีอังกฤษแท้ๆ เขาเป็นคนบุคลิกดี สุขุม สุภาพ ซื่อสัตย์ รู้จักวางตัวและให้เกียรติผู้อื่น ว่ากันว่าใครที่ได้รู้จักโบลตันต่างนิยมชมชอบเขาแทบทุกคน โบลตันเรียนจบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก่อนจะหันเหไปทำงานในสายการเงิน โดยทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์สองแห่ง ก่อนที่ในปี 1979 จะมาลงเอยกับ ฟิเดลิตี้ บริษัทการลงทุนชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ปีเตอร์ ลินช์ ทำงานอยู่ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการลงทุน สาขาลอนดอน คนแรกของฟิเดลิตี้ ทันทีที่รับตำแหน่ง โบลตันได้รับมอบหมายให้บริหารกองทรัสต์ชื่อ Fidelity Special Situations Trust โดยเน้นลงทุนในหุ้นยุโรป เขาได้รับอิสระอย่างเต็มที่ในการบริหาร และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
การลงทุนในทองคำมีความเสี่ยงขนาดไหน? การลงทุนใน ทองคำ มี ความเสี่ยงขนาดไหน  ทุกคนรู้อยู่แล้วมาทองคำเป็นสิ่งที่มีความผันผวน แม้จะเล็กน้อย ก็มีความผันผวนทำให้การลงทุนนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะได้กำไรจากทองคำ100% ดังนั้น การยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่งจะทำให้ผู้ที่ลงทุนใน ทองคำ นั้นอุ่นใจ และ การกล้าจะถือกำไรยาวๆ เมื่อ ทองคำ กำลังขึ้น พร้อมๆกับข่าว หรือ พร้อมที่จะตัดใจขาย เมื่อ ทองคำ ไม่ ขึ้นต่อแล้ว และเมื่อไรจะรู้ว่าทองคำขึ้นจนหมดแรงหรือลงจนสุดแรงแล้ว ก็ต้องดูข่าว พร้อมๆกับการวิเคราะห์ในแนวทางของตัวเอง ว่า มั่นใจได้สักแค่ไหน หากมั่นใจแล้ว การลงทุนใน ทองคำ ก็เปรียบเสมือนการเล่นหมากฮอท หากเดินถูก ก็กินเขา หากเดิน ผิด ศัตรูก็จะกินเรา เหมือนกับตลาด ทองคำ  มีได้ ก็ต้องมีเสีย ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดก็คือ 50/50 สำหรับทองคำ แต่หากใครที่ได้ เล่น ทองคำ และพอรู้จักทางจับทางได้แล้ว ก็จะลดความเสี่ยง และ รู้ว่าควรเล่นยังไงกับ ทองคำ  ทุกวันนี้เศรษฐกิจทางการเมืองหรือประเทศไม่ค่อยดีทองคำก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ตามราคาที่เหมาะสมของตัวมันเอง และ หาก วันไหนคนไม่มั่นใจในการลงทุนกับเงินตรา วันนั้น ก็จะเป็นวันข
ภาวะเงินเฟ้อและภาวะเงินฝืด ภาวะเงินเฟ้อและภาวะเงินฝืด ความหมายของภาวะการเงิน คือ “ ภาวการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินซึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ”  นั้นคือเมื่อเศรษฐกิจมีการปรับตัวหรือขยายตัวไม่ว่าจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลง จะส่งผลกระทบต่อประชาชน หน่วยธุรกิจ และภาครัฐโดยตรง ดังนั้นภาวะการเงินของประเทศต่างๆจึงบอกเราได้ว่าสภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆกำลังเป็นเช่นไร            ภาวะเงินเฟ้อ ( Inflation rate)      ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง อัตราการเพิ่มขึ้นราคาสินค้าและบริการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือเกิดอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งเราจะเห็นได้จาก ราคาสินค้าโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นราคา อมยิ้ม 1 อัน เคยซื้อได้ด้วยราคา 10 บาทในปี 2000 แต่ในปี 2013 ราคาอมยิ้ม 1 แท่งนั้นมีราคา 15 บาท หมายความว่า เงินเฟ้อทำให้ "มูลค่าของเงินลดลง"  จึงซื้อของได้ในราคาที่แพงขึ้น การวัดอัตราเงินเฟ้อเราจะวัดด้วยด้วยดัชนีราคาผู้ผลิต (producer price index: PPI) หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index: CPI) หรือ GDP deflator แต่โดยทั่วไป  &q
ปัจจัยสำคัญ 5  ประการ กับการเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน       เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา บ่อยครั้งที่มักจะได้ยินคำว่า “สงครามค่าเงิน” หรือ “Currency war” อันเป็นสงครามที่ไร้อาวุธยุทโธปกรณ์ แต่สามารถทำลายล้างเศรษฐกิจโลกได้ จากการที่ประเทศต่างๆ พยายามควบคุมค่าเงินสกุลของตนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ หรือการทำให้ค่าเงินของตนอ่อนค่า ดังจะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ประเด็นทางด้านค่าเงินเป็นประเด็นหลักที่นักลงทุนต่างจับตามอง ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่ต้องการหยิบยกมานำเสนอตามลำดับความสำคัญ ได้แก่       ปัจจัยแรก อัตราดอกเบี้ย โดยจะมีสองส่วนด้วยกันที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รายได้จากดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของเงินทุน จากปัจจัยนี้ จะเห็นว่า ทุกๆ สกุลเงินในโลก มีอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งจูงใจในการเคลื่อนไหว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวกำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ถ้าหากให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ โดยปกตินักลงทุนจะกู้ยืมเงินจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปลงทุนในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือที่คุ้นเคยกันใน
ค่าเงินบาทและผลต่อเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทและผลต่อเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทแข็ง ช่วงนี้มักจะได้ยินสื่อต่างๆ พูดคำว่า ค่าเงินบาทแข็งอยู่ตลอด จึงอยากจะขออธิบายให้ฟังเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจว่า ค่าเงินบาทแข็งคืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง ค่าเงินบาทแข็งแล้วอ่อนได้หรือไม่ ถ้าแข็งหรืออ่อนแล้วจะมีผลดีและผลเสียต่อใคร อย่างไร แล้วค่าเงินบาทที่อ่อนดีกว่าค่าเงินบาทที่แข็งจริงหรือไม่ ซึ่งก่อนอื่นขอสร้างความเข้าใจก่อนว่า ค่าเงินบาทคืออะไร? ค่าเงินบาท หมายถึง จำนวนเงินบาทที่ใช้นำไปแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกว่าเงินสกุลอื่นๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ดอลลาร์สิงคโปร์ เยนญี่ปุ่น ปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น ซึ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยก็คือ การนำเงิน 33 บาทไปแลกกับดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือการนำเงิน 30 บาทไปแลกได้ 100 เยนญี่ปุ่น หรือ นำเงิน 63 บาท ไปแลกได้ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น โดยเวลาที่พูดกันว่า ค่าเงินบาทแข็ง ก็หมายถึง เงินบาทของเรามีค่ามากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลที่กำลังเปรียบเทียบอยู่ เช่น ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็คือ สมมติ เราเคยใช้เงินบาทจำนวน 36 บาทไปแลกก
Fibonacci Expansion Fibonacci Expansion หรือบางที่จะเรียกว่า Fibonacci Extension เป็น Fibonacci ที่เอาไว้ใช้วัดการยืดตัวของราคาและหาเป้าหมายของราคา เมื่อผู้เทรดรู้แล้วว่าราคา ทำการปรับฐานใน Fibonacci Retracement ที่ประมาณเท่าไหร่แล้ว ผู้เทรดสามารถใช้ Fibonacci Expansion ในการหาเป้าหมายของราคาหลังจากปรับฐานได้ว่าราคาจะไป สิ้นสุดแรงที่ราคาประมาณเท่าไหร่ หากเทียบเป็นสวิงให้เห็นกันชัดเจนระหว่าง Fibonacci Retracement และ Fibonacci Expansion ตัว Fibonacci Retracement ผู้เทรดจะวัดจากจุด A และจุด B เพื่อหา Cแต่การลาก Fibonacci Expansion ผู้เทรดจะต้องลากจากจุด A, B, C เพื่อหา D อีกที ส่วนใหญ่แล้ว เทรดเดอร์ที่ใช้ Fibonacci Expansion ในการหาเป้าหมายของราคาจะนิยมตั้ง Target Point (TP) ไว้บริเวณ FE 61.8, FE 100.0 และ FE 161.8 ครับ แต่ส่วนมากแล้วราคามักจะวิ่งมาชนแค่ FE 61.8 และ FE 100.0 ครับ วิธีการลาก Fibonacci Expansion Uptrend ลาก Fibonacci Expansion จากตำแหน่ง Swing Low (Swing A) ที่ต้องการแล้วลากไปยัง Swing High (Swing B) ล่าสุด ดึง cursor ของ Fibonacci Expansion ที่อยู่ตรง
Fibonacci Fans Fibonacci Fans หรือที่เรียกสั้นว่า Fibo Fans หรือ Fibs Fan คือ เทรนไลน์ (Trendlines) ที่สร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากตัวเลขของ Fibonacci การลาก Fibonacci Fans ทำเหมือนการลาก Fibonacci Retracement หรือ Fibonacci Expansion คือ ผู้เทรดจะต้องลากจากจุดต่ำสุดของสวิงไปยังจุดสูงสุดของสวิง (ขาขึ้น)หรือ ลากจากจุดสูงสุดของสวิงไปยังจุดต่ำสุดของสวิง (ขาลง) เพื่อที่จะหาแนวรับแนวต้านหรือบริเวณที่มีความเป็นไปได้ในการกลับตัวของราคา ส่วนประกอบของ Fibonacci Fans Fibonacci Fans ประกอบด้วยแนว retracement 3 แนวคือ แนว 38.2% แนว 50.0% แนว 61.8% Fibonacci Fans  บอกอะไรกับผู้เทรด? Fibonacci Fans ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เทรดสามารถหาบริเวณที่มีความเป็นไปได้ว่าราคาจะกลับตัว เมื่อราคามีการดีดกลับมาทดสอบแนวของ Fibonacci Fans ผู้เทรดจะต้องสังเกตและ ให้ความสำคัญกับราคาบริเวณที่เป็น Retracement ของ Fibonacci Fans ให้ดี  Credit  http://www.thaiforexschool.com
การลาก Fibonacci Retracement การลาก Fibonacci Retracement ในกรณีที่ราคาเป็นขาลง การลาก Fibonacci Retracement ผมเห็นบางคนยังลากกันไม่ถูกเลยนะครับ ยังไม่รู้เลยว่าจะลากจากจุดไหนไปหาจุดไหน เพราะหาจุดที่เป็น High และ Low ไม่ได้ ไม่รู้จะเอา Fibonacci Retracement ไปวางไว้ตรงไหน ชื่อของมันก็ บอกอยู่แล้วว่า Fibonacci Retracement  คำว่า Retracement คือ การปรับฐาน การพักตัว การปรับตัว เป็นต้น ยกตัวอย่าง เมื่อราคาได้ลงมาถึงจุดๆนึงแล้ว ราคาจะต้องเด้งขึ้นไป เพราะมันไม่มีทางลงอย่างเดียวแน่นอน การเด้งขึ้นไปของมัน เรามองด้วยกราฟเปล่าก็อาจจะไม่รู้ (หรืออาจจะรู้โดยการดู Price Action ดู High Low เก่าๆ ) ดังนั้นเราจึงใช้ Fibonacci เพื่อหาจุดที่มันขึ้นไปเพื่อปรับฐาน ว่ามันจะปรับฐาน หรือพักตัวตรงไหนบ้าง จุดที่ราคาจะพักตัว หรือปรับฐานเพื่อไปต่อในทิศทางเดิมนั้นคือ ระดับ Fibonacci Retracement ตั้งแต่ 78.6% -38.2% (0.786-0.382) ดู รูปกันเลยครับ ตัวอย่างนี้เป็นกราฟ EUR/JPY กราฟขาลง และราคากำลังจะกลับตัวขึ้น เรามาดูจุดพักตัวของกราฟกันว่าอยู่ตรงไหนบ้าง มันจะปรับฐานตรงไหนบ้าง การ วัด Fibonacci Retracement ขอ
แท่งเทียนประเภทคู่: Tweezers Tweezers เป็นรูปแบบของแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุดของแท่งเทียน (Low) เท่ากัน ในตลาดขาขึ้นผู้เทรดมองเพียงแค่การเท่ากันระหว่าง High ของทั้ง 2 แท่งซึ่งเราจะเรียก Tweezers ในตลาดขาขึ้นว่า "Tweezers Tops" ในตลาดขาลงผู้เทรดมองเพียง Low ของทั้งสองแท่งให้เท่ากันเรียกว่า  "Tweezers Bottoms" Tweezers สามารถเทียบได้จากทั้ง ไส้ของแท่งเทียน (Shadow) หรือ Body ของแท่งเทียน หรือ จาก โดจิ ก็ได้ ถึงแม้ว่ารูปแบบนี้จะไม่แสดงการกลับตัวชัดเจนเหมือนรูปแบบอื่น ๆ แต่หากแท่งที่อยู่ถัดจากแท่ง Tweezers สามารถเปลี่ยนเทรนได้ Tweezers แท่งนั้นจะกลายเป็นตำแหน่งสูงสุดหรือต่ำสุดของสวิงทันทีและหากมีแรงที่วกกลับทาทดสอบแนวของ Tweezers ผู้เทรดก็สามารถใช้แท่ง Tweezers ดูแนวรับแนวต้านได้ไม่แพ้รูปแบบอื่น ๆ เลย ดังนั้น Tweezers จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนแท่งเทียนที่บอกถึงการพักชั่วคราวของเทรน มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณการกลับตัว   สรุปวิธีการสังเกต Tweezers 1. ถ้าเป็น Tweezers Tops จุดสูงสุดของแท่งเทียน (High) จะต้องเท่ากัน 2. ถ้าเป็น Tweez