Spread คือ “ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และราคา Ask” ของคู่สกุลเงินหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่นักเทรดต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ แม้จะไม่ใช่ค่าธรรมเนียมโดยตรง แต่ถือเป็นต้นทุนที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรและขาดทุนของนักลงทุน
🔎 Spread คืออะไร?
-
Bid = ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมซื้อจากนักเทรด
-
Ask = ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมขายให้นักเทรด
-
Spread = Ask – Bid
ยกตัวอย่าง:
-
EUR/USD = Bid 1.1000 | Ask 1.1002 → Spread = 2 pips
-
XAU/USD (ทองคำ) = Bid 2000.00 | Ask 2000.50 → Spread = 50 pips
💡 ทำไม Spread ของทองคำถึงแพงกว่าคู่เงินอื่น?
-
ความผันผวนสูง (High Volatility)
-
ราคาทองคำสามารถแกว่งหลายสิบดอลลาร์ใน 1 วัน
-
โบรกเกอร์ต้องกันความเสี่ยง จึงตั้ง Spread กว้างกว่าปกติ
-
-
สภาพคล่อง (Liquidity) ไม่เท่ากับคู่เงินหลัก
-
คู่เงินหลักเช่น EUR/USD, USD/JPY มีการซื้อขายหนาแน่นมาก ทำให้ Spread แคบ
-
ทองคำแม้จะนิยม แต่สภาพคล่องน้อยกว่าในบางช่วงเวลา
-
-
ต้นทุนโบรกเกอร์สูงกว่า
-
โบรกเกอร์ต้องอ้างอิงราคาทองคำจากตลาดลอนดอนและตลาดสหรัฐ ซึ่งมีความผันผวนตามข่าวเศรษฐกิจและการเมือง
-
จึงต้องบวกค่าความเสี่ยง (Risk Premium) เข้าไปใน Spread
-
-
เวลาการซื้อขายและข่าวเศรษฐกิจ
-
ข่าวเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ดัชนี CPI, NFP ทำให้ทองคำเหวี่ยงแรงมาก
-
โบรกเกอร์มักขยาย Spread ช่วงก่อน–หลังประกาศข่าว
📉 ผลกระทบต่อเทรดเดอร์
-
ต้นทุนเปิดออเดอร์สูง → ต้องให้ราคาวิ่งมากกว่าค่า Spread ก่อนถึงจะเริ่มมีกำไร
-
ไม่เหมาะกับการ Scalping ถี่ ๆ เพราะต้นทุนกินส่วนใหญ่ของกำไร
-
เหมาะกับ Swing / Position Trading ที่ถือระยะยาวมากกว่า
📌 สรุป
-
Spread คือค่าต้นทุนแฝงของการเทรด Forex
-
คู่เงินหลัก → Spread แคบ (เหมาะกับ Scalping/Day trade)
-
ทองคำ (XAU/USD) → Spread กว้าง เพราะผันผวนและสภาพคล่องน้อยกว่า
-
นักเทรดควรเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะกับค่า Spread ของแต่ละสินค้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น