บทความ

การเทรด CFD , Gold , forex และอื่นๆในตลาดต่างประเทศเราจะสามารถ เทรดผ่านโปรแกรมเทรดมาตรฐานแบบ Metatrader (MT4,MT5) ซึ่งเป็นแพตฟอร์มเปิดที่ได้รับความนิยมและใช้กันเป็นสากล ทำให้มีกลุ่มผู้ใช้และนักพัฒนามากมาย สร้างเครื่องมือวิเคราะห์ราคาสินค้าประเภทเทคนิคอล และมีการสร้าง algorithm สำหรับระบบเทรดอัตโนมัติ(Expert Advice) ให้เราได้นำมาทดลองใช้และศึกษา ในการพัฒนาระบบเทรดของเรา  วันนี้มาลองดูวิธีติดตั้ง Indicator ประเภทพิเศษเพิ่่มเติมจากเครื่องมือพื้นฐานที่มากับโปรแกรม  1. ดาวน์โหลด indicator จากเว็บที่เผยแพร่  โดยทั่วไป indicator จะเป็นไฟล์ประเภท .mt4 หรือ .mq4 2. เลือกไปที่ C:\Program Files\MetaTrader - exness\experts\indicators กรณีไม่ได้ใช้ exness ชื่อของโฟล์เดอร์ก็เปลี่ยนไปตาม โบรกเกอร์ของท่าน 3. copy ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาใส่ลงใน ไดเรกทอรี่ด้านบน 4. เปิดโปรแกรม Mt4 ไปที่ แถบ Toolsbox >> Costom indicators เลือก indicator ที่ท่านติดตั้ง แล้ว ลากเข้าไปวางในกราฟ หรือ Click ขวา >> Attach to a chart เมื่อติดตั้งสำเร็จ ได้เครื่องมือ
ที่ Babypips นาย Proximus มาตั้งกระทู้ถามเรื่อง RSI กับ Stochastic เขาบอกว่าเขาได้ทดลองใช้ Stochastic มาระยะหนึ่งแล้วสำหรับเขาแล้วมันได้ผลมาก ๆ เลยผมเทรดได้ตั้ง 7 ใน 10 ครั้งแนะ แต่ผมก็ได้ยินมาว่ามีอินดิเคเตอร์อีกตัวหนึ่งที่คล้าย ๆ กันนั่นคือ RSI แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ลองใช้มันสักที นอกจากนี้ผมยังเห็นว่ากรอบ over ของ RSI มันต่างจาก Stochastic แค่ 10 เอง Stochastic ใช้ 80 20 แต่ RSI ใช้ 70 30 ผมไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยทำให้ RSI มันวิ่งสมูธขึ้นหรือทำให้สัญญาณกลับตัวมันช้าลงกันแน่ ผมเลยมาตั้งกระทู้นี้เพราะอยากได้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ 2 ตัวนี้ว่าอันไหนดีกว่ากันอันไหนแม่นกว่ากันเพราะมันทั้งคู่ใกล้เคียงกันมาก ระหว่างให้สัญญาณที่เร็วแต่มีโฮกาสหลอกบ่อย กับ วิ่งช้าลงสักหน่อยแต่มั่นใจมากขึ้น อันไหนดีกว่ากันครับ คุณ TheDayTrader เข้ามาตอบว่า ทั้ง Stochastic และ RSI เป็น Indicator ประเภทเดียวกันคือใช้วัดการแกว่งของราคาเหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะต่างกันเพียงนิดเดียวก็ตามแต่มันก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กันอยู่ผมแนะนำให้เลือกใช้เพียงตัวเดียวพอ แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็ลองใช้ทั้งคู่ไปก่อนก็ได้แล้วดูว่
เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก คือ  Pivot Point  เทรดเดอร์มืออาชีพ และ Market Maker นิยมที่จะใช้ Pivot point นี้มาเป็นเครื่องมือในการหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ที่อาจเกิดการกลับตัวของราคาได้ในระดับแนวรับแนวต้านนั้นๆ เราอาจเห็นว่า Pivot point นั้นมีความคล้ายคลึงกับ Fibonacci อยู่มากทีเดียว แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างก็คือการใช้ Fibonacci เราสามารถเลือกจุดสวิงสูงสุด และต่ำสุดได้ตามที่เราต้องการ แต่การใช้ Pivot point เราจะไม่สามารถเลือกสวิงได้ แต่เราจะใช้ค่าเดียวที่ได้จากการคำนวณ เจ้า Pivot point นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่กำลังมองหาความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในระยะสั้น สามารถใช้ในการเล่น Swing trade โดยใช้หาจุดกลับตัวของราคา รวมทั้งยังสามารถหาจุด Breakout ของราคา และ ยังใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นของแต่ละวันได้อีกด้วย ตัวอย่างหน้าตาของ  Pivot point การคำนวณหา  Pivot point การคำนวณ ระดับของ Pivot point และเส้นแนวรับ - แนวต้าน จะถูกคำนวณจากราคา  ราคาสูงสุด(H) , ราคาต่ำสุด(L) และ ราคาปิด (C) ของวันก่อนหน้านี้ และตั้
คุณ gspajon ตั้งกระทู้ถามว่า เค้าอยากรู้ว่าคนที่นี่ใช้ Fibonacci กันบ้างรึเปล่าและถ้าใช้มักจะดูที่ตำแหน่งไหนกันบ้าง และ ทำไมถึงดูที่ตำแหน่งนั้น นอกจากนี้แล้วยังถามอีกว่า คุณทุ่มความเสี่ยงของคุณทั้งหมดลงที่ตำแหน่งนั้นเลยรึเปล่า คุณ GnarlyPips เข้ามาตอบแบบเป็นสำนวณเปรียบเปรยระหว่างการเทรดกับพืชว่า พืชไม่ได้โตตาม Fibonacci ถึงแม้ว่า Fibonacci สามารถอธิบายได้ในเรื่องของพืช มันก็เหมือนกับที่ Fibonacci สามารถคำนวณความเป็นไปได้ของแนวรับแนวต้านแต่ก็ไม่ได้สมารถกำหนดได้ว่ากราฟจะต้องวิ่งไปถึงตรงตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้แล้วจะกลับตัว โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ใช้Fibonacci หรอกยกเว้นว่าราคาจะไปเจอแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ๆ เข้าก็อาจจะวัดบ้างเป็นครั้งเป็นคราวส่วนมากก็ดูที่ 61.8% นั่นละ มีคนเข้ามาตอบว่าเขาดู Fibonacci ที่ 50% และก็มีคนมาตอบว่า ความจริงแล้วแนว 50% ไม่ได้มีติด Fibonacci มาตั้งแต่แรกแต่มันมาจากทฤษฏีดาวต่างหาก (Dow Theory)  จขกท. เข้ามาตอบว่าตัวเขาเคยลองจดบันทึกราคาดูเวลาที่มันปรับฐานเขาพบว่า 38.2% มีความเป็นไปได้ 4% ต่อครั้ง 50.0% มีความเป็นไปได้ 35% ต่อครั้ง 61.8% มีความเ
อย่างที่เรารู้กันดีว่า คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะมีอย่างหนึ่งของระบบเทรดที่ดี คือ  ใช้ง่าย ดูง่าย ไม่ซับซ้อน  ในบทความก่อนหน้าเราได้แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับหลักการทำงานและเทคนิคเล็กๆน้อยๆในการวิเคราะห์กราฟด้วย EMA200 กันไปแล้ว ในบทนี้เราก็มาแนะนำการสร้างระบบเทรดแบบง่ายๆ ด้วย EMA200 กับเครื่องมือพื้นฐานที่มีมากับโปรแกรมเทรดทั่วไป เทรดด้วย  EMA200  กับ  MACD ถ้าพูดถึง MACD คงไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ไม่รู้จัก MACD เป็นเครื่องมือที่คลาสสิคตลอดกาล เป็นที่นิยมกันมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ กลักการทำงานโดยทั่วไปของ MACD สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความเรื่อง MACD ในส่วนนี้เราจะใช้เครื่องมือ 2 อย่างคือ EMA200 และ MACD เซทค่าพื้นฐานคือ 12,26,9 รูปแบบการเทรดแบบแรก คือ การเทรดเมื่ออยู่ในเทรนที่ชัดเจน  จากภาพตัวอย่าง EMA200 บอกเราว่าราคาอยู่ในเทรนขาลง แล้วเราใช้สัญญาณจาก MACD เพื่อระบุจุดเข้า- ออก ออเดอร์ของเรา พิจารณาจากภาพตัวอย่างต่อไปนี้ ตามตัวอย่างเป็นราคาอยู่ในเทรนขาลง เราจะเข้าเซลอย่างเดียว (เทรดตามเทรน) และจะเข้าเมื่อ Histoream ของ MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับของเส้
คุณทราบหรือไม่ว่า ข้อมูลตลาดหุ้น (ตลาดหลักทรัพย์) สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายการเคลื่อนไหวในตลาดค้าสกุลเงินได้ อย่างเช่นข้อมูลข่าวสารที่คุณได้รับจากสื่อต่างๆ เช่น จากโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดทุนส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมตลาดการลงทุนอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่คุณลืมไม่ได้คือ ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นจากประเทศใดประเทศหนึ่ง คุณจะต้องมีสกุลเงินท้องถิ่น เช่น นักลงทุนชาวยุโรปต้องการจะลงทุนในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือแลกเปลี่ยนเงินสกุลยูโร (EUR) ของเขาเป็นเงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นก่อน ถ้าความต้องการที่จะลงทุนในญี่ปุ่นมีมาก ก็จะมีผลทำให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น และถ้ามีการขายยูโรมากขึ้น ก็มีผลทำให้ ค่าเงิน ยูโรอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน เมื่อการลงทุนในตลาดใดก็ตามมีภาพรวมออกมาดี ก็จะมีเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่เมื่อใดที่ตลาดมีภาพรวมว่ากำลังย่ำแย่ นักลงทุนต่างชาติก็จะถอนการลงทุน และไปหาที่ลงทุนใหม่ทีดีกว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้เทรดหุ้น แต่ในฐานะ Forex เทรดเดอร์ คุณก็ควรจะใส่ใจกับตลาดหุ้นในประเทศที่สำคัญ ถ้าตลาดหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มจะมีประสิทธิภาพ
นาย Ishtana มาตั้งกระทู้ว่าตัวเค้าหาแนวรับแนวต้านจากการใช้ indicator ที่ช่วยในการคำนวณหาค่า pivot ตัวหนึ่งแต่เค้าเอาไปใส่ในกราฟคู่เงินตัวเดียวกันแต่ต่างโบรกเกอร์ ผลที่ได้คือมันคำนวนออกมาไม่ตรงกันเลยทั้ง 5 โบรกเกอร์แล้วแบบนี้เค้าจะรู้ได้ยังไงว่าโบรกเกอร์ไหนมีแนวรับแนวต้านใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ในความคิดของเค้า เค้าบอกว่าเราในฐานะเทรดเดอร์ควรจะหาแนวรับแนวต้านที่แนวนอนให้เจอเพราะพวกพี่บิ๊กทั้งหลายใช้แนวเหล่านั้น เค้าเดาว่าเหตุผลที่แนวรับแนวต้านขชองแต่ละโบรกเกอร์ไม่น่าเชื่อถือเหมือนในรูปเพราะเทรดเดอร์ที่โตเกียวใช้แนวรับแนวต้านไม่เหมือนกับของคนที่ทางฝั่งอเมริกาใช้รึเปล่า ใครก็ได้ช่วงให้คำตอบกับเขาที ตัวอย่างกราฟจริงทั้ง 5 คุณ Hatzerim เข้ามาตอบแบบสั้น ๆ ว่า ผมว่ามันดูรุงรังไปนะแค่แนวรับแนวต้านจากสายตาของคุณก็น่าจะเพียงพอแล้ว คุณ Robertk ตอบว่า หากคุณใช้ Fibonacci แล้วละก็ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปเพราะมันเหมือนกันหมดทุกโบรกเกอร์ ยกเว้นว่าคุณจะมองสวิงผิดอะนะ และคุณ GnarlyPips ก็เข้ามาเสริมคำตอบของคุณ Robertk ว่า แนวรับแนวต้านบอกอะไรกับคุณ สำหรับผมแนวรับแนวต้านคือบริเวณที่มีความเป็นได้ที่จะสา