John C. Bogle ผู้คิดค้น Index Fund
👋สำหรับนักลงทุนที่ศึกษาหาความรู้เพื่อประสบความสำเร็จในการลงทุน น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ John C. Bogle ผู้ก่อกำเนิดกองทุนรวมที่ลงทุนตามดัชนี (Index Fund) หรือกองทุนเชิงรับ (Passive Fund) ให้เกิดขึ้นมาในโลก และยังยืนยงจนถึงปัจจุบันนี้
👋John C. Bogle มีชื่อเต็มๆว่า John Clifton Bogle (จอห์น คลิฟตั้น โบเกิล) แต่เพื่อนๆของเขามักจะเรียกว่า แจ๊ค โบเกิล (๋Jack Bogle) เขาเป็นนักลงทุนชาวอเมริกา เกิดที่รัฐนิวเจอร์ซีส์ พ่อของเขาชื่อ ยาเตส โบเกิล จูเนียร์ และแม่ของเขาคือ โจเซฟินส์ ลอร์เลนซ์ ฮิฟกิ้น พ่อแม่ของเขาได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression ช่วงปี 1929 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่กี่ปี
👋 John C. Bogle ได้เข้าเรียนที่โรงเรียน Manasquan High school และสอบชิงทุนเข้าโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงอย่าง Blair Academy ซึ่งเขามีความโดดเด่นทางด้านคณิตศาสตร์
👋ต่อมาเขาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพรินซ์ตั้น สาขาเศรษฐกิจและการลงทุน ก่อนจะเรียนจบเขาทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องการวิเคราะห์ภาพของกองทุนรวมและลงทุนอย่างไรในกองทุนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งถือเป็นการทำรายงานแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
👋งานวิจัยของเขาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยเพราะส่วนใหญ่อาจารย์เหล่านั้นมักจะคิดว่าคนที่ทำงานในสายผู้จัดการกองทุนรวมเป็นพวกฉลาดและมีความรู้ความสามารถไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบอะไรมากมาย แต่หลังจากงานของโบเกิลครั้งนั้นทำให้มองเห็นภาพเลยว่ากว่า 90% ของผู้จัดการกองทุนรวมแพ้ตลาด! .....
👋หลังจากเขาเรียนจบแล้วโบเกิลทำงานที่ Wellington Fund ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การทำงานเพียงแค่ 3 ปีจากเด็กใหม่กลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนโดยมีหน้าที่วิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เขาเป็นที่จับตามองของเพื่อนร่วมงานมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียดในเวลาเดียวกัน
👋วอเธอร์ แอล มอร์แกน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Wellington Fund เคยกล่าวยกย่องโบเกิล ในวัย 30 ปีว่า "เขารู้ในสายงานกองทุนมากกว่าผมซึ่งเป็นเจ้าของซะอีก" ซึ่งการออกมายกย่องเด็กอายุน้อยขนาดนี้ทำให้แจ็คเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อนร่วมงาน ต่อมาไม่นานเขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Wellington Fund ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมกองทุนรวมร้อนแรงมาก เพราะเป็นยุค go-go fund (คือยุคที่ตลาดหุ้นขาขึ้น คนเลยนิยมลงทุนในกองทุนรวม
👋Wellington Fund ทำผลงานออกมาได้ดีมากจนกระทั่งตลาดถล่มลงมาอย่างรุนแรงในปี 1974 โบเกิลก็โดนไล่ออกเพราะโดนคนที่เกลียดชังกดดัน อีกทั้งผลงานก็ทำออกมาไม่ดีด้วย นี้ถือเป็นความอับอายของโบเกิล แต่เขาก็มาคิดได้ภายหลังว่า "ความอับอายที่เกิดจากการทำสิ่งที่ผิดพลาด คือตัวสะท้อนว่าคุณเชื่อมั่นและยืนยัดในความคิดของคุณมากแค่ไหน"
👋หลังจากที่เขาโดนไล่ออกในปี 1974 ไม่กี่เดือนต่อมาเขาก่อตั้งบริษัท Vanguard Company โดยใส่หลักการของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด และสร้างกองทุนเลียนแบบดัชนี ให้สามารถเกาะติดผลตอบแทนไปพร้อมกับตลาดหุ้น
👋ในปี 1976 เขาได้อ่านงานเขียนและได้รับการช่วยเหลือจาก ศาสตร์จารย์พอล ซามูเอลสัน จากมหาวิทยาลัย MIT โดยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่อิงกับดัชนี S&P500 โบเกิลได้กลับไปศึกษาและทดลองย้อนกลับ (Backtesting) โดยใช้ข้อมูล 30 ปีย้อนหลังผลปรากฏว่า เราสามารถสร้างเงิน 1 ล้านเหรียญให้กลายเป็นเงิน 25 ล้านเหรียญในระยะเวลา 30 ปี ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่งดงามสำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถ และนั่นทำให้โบเกิลสามารถตั้งกองทุนดัชนีกองแรกของโลก ได้สำเร็จ ชื่อว่า “Vanguard 500 Index Fund”
เปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกองทุน และดัชนี S&P500
ที่มาภาพ : The Motley Fool
👋ช่วงแรกที่ Vanguard 500 Index Fund ออกขายสู่สาธารณะชน มีจุดเด่น คือ คิดค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากเพียง 0.25% ในขณะที่กองทุนมีลักษณะเชิงรุกและมีผู้จัดการกองทุนที่คอยจับตาดูหุ้นตลอดเวลาจะมีค่าธรรมเนียมที่ 1.5-2.5%
👋 Bogle ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากผู้ที่นิยมการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Investment) เท่านั้น แต่เขายังได้รับการยอมรับจาก Warren Buffet นักลงทุนที่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น และประสบความสำเร็จจากการเลือกหุ้นมากที่สุดคนหนึ่งของโลกแห่ง Berkshire Hathaway โดย Buffett ได้เขียนในสารถึงผู้ลงทุนของ Berkshire ประจำปี 2560 ก่อนที่ Bogle จะเสียชีวิตว่า
“หากมีการตั้งอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลที่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่นักลงทุนชาวอเมริกันมากที่สุด บุคคลที่สมควรถูกเลือกโดยไม่ต้องคิดให้มากเลย คือ Jack Bogle…ในชีวิตช่วงแรกๆของเขา บ่อยครั้งที่แจ็คถูกล้อเลียนโดยผู้คนในอุตสาหกรรมลงทุน แต่ในวันนี้ เขามีความสุขที่ได้ทราบว่าเขาได้ช่วยเหลือนักลงทุนเป็นล้านๆคนให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินออม มากกว่าที่ควรจะได้รับก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก เขาคือวีรบุรุษของนักลงทุนเหล่านั้น และของผมด้วย”
👉👉👉ปัจจุบันกองทุนของกลุ่ม Vanguard สามารถครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกเป็นอันดับ 1 ของกองทุนรวม และเป็นอันดับ 2 ของ ETF รองจาก iShares ของ BlackRock เท่านั้น
👉👉👉เขาคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เดี๋ยวบทความหน้าเรามาต่อกันที่แนวความคิดและปรัชญาในการเทรดของเขากันครับ ติดตามอ่านต่อได้ที่ ปรัชญาการลงทุนของ John C. Bogle
ขอบคุณข้อมูลจาก stock2morrow , bangkokbiznews
"สนับสนุนบทความนี้ด้วยการส่งเพชร 💎ส่งดาว🌟 และกดติดตาม ใน Blockdit ของเรา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น