กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ ลงทุนทองคำ

บทความ

เชื่อว่าหลายคนที่เทรดมา ก็คงคุ้นเคยข่าวที่ขึ้นต้น ด้วย FOMC ซึ่งเป็นข่าวที่แทบจะทุกตลาดให้ความสำคัญ เพราะมีผลต่อการเคลื่อนเที่ของราคา วันนี้เราจะมาทำความรู้จักไปพร้อมกันๆ  FOMC คืออะไร 👍 FOMC หรือในชื่อเต็มคือ  Federal Open Market Committee คือ คณะกรรมการตลาดเสรีกลาง เป็นหน่วยงานในระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System) หรือที่เรียกว่า FED หรือพูดง่ายก็คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หน่วยงานในระบบธนาคารแห่งประเทศไทย 📉 FOMC ทำไมถึงสำคัญต่อการเคลื่อนของราคา📈 FOMC เป็นคนกำหนดนโยบายทางการเงิน โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open Market Operations) และเป็นผู้กำหนดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรง รวมไปถึง การบริหารจัดการเป้าหมายของอัตราการว่างงาน , เป้าหมายเงินเฟ้อ และ ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ นั้นจึงทำให้การสื่อสารของ FOMC ผ่านรายงานการประชุม หรือการให้สัมภาษณ์ของคณะกรรมการจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจ เพราะจะเป็นการบอกถึงทิศทางที่จะดำเนินนโยบายการเงิน 📌 เราสามารถเข้าไปติดตามข่าวได้ที่เว็บ https://www.fo
Inflation Hedge เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย ทองคำจะลงจริงหรือ?                เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า  ทองคำ มักสัมพันธ์กับเงินเฟ้อ เมื่อไหร่ที่เงินเฟ้อเริ่มสูง ทองก็มักจะบินสูงตามอย่างที่ใครๆหลายคน คนเฒ่าคนแก่มักจะพูดว่า ข้าวยากหมากแพง อะไรๆก็แพง ทองก็ยิ่งแพงแสนแพงนั่นแหละ                 แล้วกับสถาบันการเงินระดับโลกล่ะ อย่างเฟด FED   เรากลับให้นิยามทองคำว่าเป็น Inflation Hedge หรือที่แปลว่า สินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันเงินเฟ้อ อ้าว.....ฟังแล้วงงละสิ มันเป็นยังไง ไหนเล่าสิ มาแอดจะเล่าให้ฟังนะ                ส่วนใหญ่แล้ว FED หรือธนาคารกลางสหรัฐ เวลาจะขึ้นดอกเบี้ย หลายคนมักเข้าใจว่ามันจะส่งผลลบต่อราคาทองคำ ทองจะลง แล้วทีนี้มันก็เลยเป็นที่ตั้งข้อสงสัยกันว่า  แบบนี้ถ้าเงินเฟ้อมา ทองคำก็ต้องเป็นขาลงใช่มั้ย  เพราะเดี๋ยวเค้าก็จะขึ้นดอกเบี้ย ใช่สิดอกเบี้ยธนาคารกับดอกเบี้ยที่แท้จริงนั้นมันต่างกันไงละ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบัน – อัตราเงินเฟ้อ หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อคงที่ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก แบบนี้ทองจะโดนทุบ  หรือหากเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1% แต่อัต
Bond yield  &Gold   พันธบัตรที่สัมพันธ์ุโดยตรงกับทอง Bond Yield คืออะไร                Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปของ "ดอกเบี้ย" จากการถือพันธบัตรนั้นๆ เปรียบเหมือนเราเอาเงินไปฝากธนาคาร เมื่อถือครบ 1 ปี เราก็จะได้ดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากตามที่ธนาคารกำหนดไว้ เช่น ได้ดอกเบี้ย 0.5% หรือ 1% ต่อปี                สำหรับ  Bond Yield   หรือพันธบัตร เป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีการกำหนดว่า ในการลงทุนในพันธบัตรนั้นๆ จะได้รับดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อปี เช่น 2% ต่อปี และมีระยะเวลาลงทุน่ากัน ตามแต่ละปี 1 ปี 5 ปี และ 10 ปี โดยถ้าเป็นพันธบัตรระยะสั้นจะได้ผลตอบแทนต่ำ และหากเป็นพันธบัตรระยะยาว ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น คล้ายๆ กับการฝากประจำของธนาคาร       👉👉👉 Bond Yield ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจคือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10-year Treasury Yield) ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับ Bond Yield?                ตามทฤษฎีการเงิน ดอกเบี้ยหรือ Bond Yield ในตลาดถือเป็นอัตราคิดลด หรื
แปลกใจกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมนักวิเคราะห์จึงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า ทองคำจะขึ้นไปถึง 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น ถ้าได้อ่านบทที่ 1 ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลล่าร์แล้ว คงพอจะเข้าใจกันบ้างแล้วว่า ทองคำคงไม่ลดมูลค่าง่ายๆ ตราบเท่าที่สหรัฐยังคงพิมพ์แบงค์ออกมาใช้เองไม่หยุด เมื่อปี 2006 World Gold Council ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำ ได้พบว่า - ระยะยาว ราคาทองคำมีสัดส่วนความสัมพันธ์แบบ 1:1 กับเงินเฟ้อของสหรัฐ - ราคาทองคำ ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเงินเฟ้อในส่วนอื่นๆของโลก - ความเบี่ยงเบนจากปัจจัยอื่น เช่น การเมือง ความเสี่ยงทางการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจจะกินเวลาสั้นๆหรือเป็นปี แต่สุดท้าย ก็จะกลับมาอยู่ที่ความสัมพันธ์หลัก คือเงินเฟ้อสหรัฐเท่านั้น หมายความว่า หากเงินเฟ้อสหรัฐขยับ 1% ราคาทองคำจะขยับ 1% ด้วยนั้นแหละครับ และนั่นคือที่มา ที่นักวิเคราะห์ทั้งหลาย ทำนายว่า ทองคำมันจะไป 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น เพราะเทียบจากอดีตเมื่อครั้งลอยแพมูลค่าทองคำจนถึงปัจจุบัน ทองคำมันควรจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว แล้วจริงหรือเปล่า? ทำไมสิ่งที่เห
วันนี้ ผมจะมาแชร์ เทคนิคการวิเคราะห์ ข่าว ว่าข่าวไหน? มีผลต่อราคาทองคำ และมีผลอย่างไรกันบ้างครับ แต่ผมขอออกตัวก่อนนะครับ  ว่านี้เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วผมใช้ในวิธีนี่ในการเทรด ณ ปัจจุบัน ผมไม่ใช่กูรู นะครับ ผมเป็นแค่เพื่อนนักลงทุนเท่านั้นเอง เทคนิค นี้เป็นเทคนิคส่วนตัวนะครับ ใครเอาไปใช้ได้ ไม่หวง แต่เสีย อย่าโกรธกัน นะคร้าบบบ  ผมให้พื้นฐานแบบนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากการที่เราเทรดราคาทองคำในตลาดโกล์ดสปอต ซึ่งเป็นการเทรดเปรียบเทียบกันระหว่างราคาทองคำ XAU กับ ค่าเงิน USD เพราะฉะนั้น เนี้ย ถ้าสิ่งใดที่มีผลทำให้เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำลง ค่าเงิน USD ก็จะลงด้วย และเมื่อค่าเงินอ่อนลง ราคาทองคำก็จะขึ้น  อันนี้ให้เป็นหลักการ ไว้นะครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ  ว่าปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ปัจจัยที่ผลกระทบต่อราคาทองคำ อัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบี้ย ต่ำ แสดงว่า ต้องการกระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอย เพราะฉะนั้น แปลว่า เศรษฐกิจกำลังแย่ เพราะฉะนั้น คนก็จะเปลี่ยนจากการถือครองสกุลเงิน USD มาเป็น XAU ซื่งก็คือทองคำนั่นเอง อัตราเงินเฟ้อ เราจะสังเกตว่าจะมีข่าวประกาศอัตราเงิน
Gold Futures สินค้าใหม่ที่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท  ถ้าหากซื้อทองคำแท่งเพื่อเก็บออมไว้ในระยะยาว แต่เดือนถัดมาราคาทองคำปรับลดลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อมา แสดงว่ากำลังขาดทุน สมมติว่าราคาทองคำปรับลดลงไปเรื่อยๆ ผลขาดทุนย่อมสูงขึ้น แต่ถ้าหากมีสัญญาซื้อ Gold Futures ซึ่งเป็นสินค้าตัวหนึ่งในตลาดอนุพันธ์ นักลงทุนก็สามารถป้องกันความเสี่ยงเรื่องผลขาดทุนได้ ภาพผู้คนยืนเข้าแถวเพื่อรอคิวซื้อทองคำแถวเยาวราช มองในแง่ดีถือเป็นการการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีในระยะยาว และเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน มองอีกมุมคนไทยเพิ่งรู้จักการลงทุนในทองคำเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีคำถามตามมาว่า ถ้าหากราคาทองคำอยู่ในช่วงขาลง จะเกิดอะไรขึ้น "Gold Futures จะเข้ามาเป็นทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นและในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) โดย Gold Futures มีประโยชน์ตรงที่สามารถลงทุนทำกำไรได้ไม่ว่าตลาดทองคำจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตทองคำของนักลงทุนหรือของร้านขายทองได้เป็นอย่างดี" ภาคภูมิ ภาคย์วิศาล ผู้อ
หลายคนยังนิยมซื้อทองคำเพื่อการลงทุน แต่ใช่ว่า ทุกคนที่ลงทุนทองคำจะได้กำไร เพราะหากลงทุนผิดจังหวะ หรือผิดวิธีก็อาจขาดทุนได้ เราจึงมี 5 เทคนิคซื้อทองให้รวยมาฝากกันค่ะ 1. เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง  หากต้องการลงทุนทองคำ ปัจจุบันมีเครื่องมือในการลงทุนหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ กองทุนทองคำ และ Gold Futures ทองคำแท่งนับเป็นรูปแบบการลงทุนที่หลายคนคุ้นเคย โดยเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนทองรูปพรรณอาจไม่เหมาะกับการลงทุนมากนัก เพราะทองรูปพรรณมีการคิดค่ากำเหน็จ ซึ่งจะทำให้กำไรจากการลงทุนลดน้อยลงไปได้ แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ ข้อควรระวังหลักของการลงทุนทองคำแท่งและทองรูปพรรณคือ การเก็บรักษา เพราะมีความเสี่ยงที่ทรัพย์สินจะสูญหายได้ ส่วนกองทุนทองคำนั้นเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถซื้อขายได้ง่าย ไม่ว่าจะซื้อผ่านธนาคารที่เป็นตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือผ่านอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา และมีโอกาสได้รับเงินปันผล (กรณีที่กองทุนมีนโย
การลงทุนในทองคำมีความเสี่ยงขนาดไหน? การลงทุนใน ทองคำ มี ความเสี่ยงขนาดไหน  ทุกคนรู้อยู่แล้วมาทองคำเป็นสิ่งที่มีความผันผวน แม้จะเล็กน้อย ก็มีความผันผวนทำให้การลงทุนนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะได้กำไรจากทองคำ100% ดังนั้น การยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่งจะทำให้ผู้ที่ลงทุนใน ทองคำ นั้นอุ่นใจ และ การกล้าจะถือกำไรยาวๆ เมื่อ ทองคำ กำลังขึ้น พร้อมๆกับข่าว หรือ พร้อมที่จะตัดใจขาย เมื่อ ทองคำ ไม่ ขึ้นต่อแล้ว และเมื่อไรจะรู้ว่าทองคำขึ้นจนหมดแรงหรือลงจนสุดแรงแล้ว ก็ต้องดูข่าว พร้อมๆกับการวิเคราะห์ในแนวทางของตัวเอง ว่า มั่นใจได้สักแค่ไหน หากมั่นใจแล้ว การลงทุนใน ทองคำ ก็เปรียบเสมือนการเล่นหมากฮอท หากเดินถูก ก็กินเขา หากเดิน ผิด ศัตรูก็จะกินเรา เหมือนกับตลาด ทองคำ  มีได้ ก็ต้องมีเสีย ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดก็คือ 50/50 สำหรับทองคำ แต่หากใครที่ได้ เล่น ทองคำ และพอรู้จักทางจับทางได้แล้ว ก็จะลดความเสี่ยง และ รู้ว่าควรเล่นยังไงกับ ทองคำ  ทุกวันนี้เศรษฐกิจทางการเมืองหรือประเทศไม่ค่อยดีทองคำก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ตามราคาที่เหมาะสมของตัวมันเอง และ หาก วันไหนคนไม่มั่นใจในการลงทุนกับเงินตรา วันนั้น ก็จะเป็นวันข
มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ Stochastic Oscillator  เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า  Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า  RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b  MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ  การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด อ่านตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโ
ผมพยายามลำดับความสำคัญว่า อะไรที่ควรจะเรียนรู้ก่อนในกลุ่มเครื่องมือจำนวนมากที่สามารถพาพวกเราเวียนหัวกันได้ ผมว่าน่าจะเอาสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด ก็คือ Fibonacci number นี่แหละ มาให้เราทำความเข้าใจกันก่อน ผมว่าเหมือนกับการป้อนข้อมูลใส่ให้พวกเราเข้าใจว่า สาวๆ หน้ากลมๆ สัดส่วน 30-24-36 ถึงจะสวยนะ ถ้าไม่ใช่ ก็สัก 32-26-36 ก็ยังดี (หุหุ เกี่ยวป่าว?) fibonacci เป็นชื่อเรียกเลขอนุกรมมหัศจรรย์ ที่ตั้งขึ้นตามผู้คิดค้นคือ LEONARDS FIBONACCI ซึ่งสังเกตเห็นว่า ธรรมชาติมีสัดส่วนสัมพันธ์กับตัวเลขนี้ ต่อมาได้มีการประยุกต์นำมาใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น เพื่อที่จะใช้ค้นหาแนวโน้ม แนวต้าน แนวรับ สัญญาณซื้อและขาย โดยมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ - Fibonacci retracement หาแนวรับแนวต้านราคาในแนวระนาบ - Fibonacci fan หาแนวรับในแนวเฉียง - Fibonacci fan หาแนวรับในแนวดิ่ง หรือระยะเวลา ส่วนใหญ่ที่เห็นใช้กัน ก็เป็นอันแรกครับ ส่วนที่มาของตัวเลข ไม่ขอพูดมากครับ ตำราเยอะแยะ เอาเป็นว่า ผมแนะนำสิ่งที่นำไปใช้งานเลยละกัน ตัวเลขสัดส่วนที่นำมาใช้ ถูกคำนวณมาเป็น % หรือเทียบกับ 1.0 เป็นเลขดังนี
หากคุณไม่สนใจทำความรู้จักมัน คงเหมือนกับคุณนั่งริมทะเลชมคลื่นไปเรื่อยๆ แต่หากคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่อยู่ดีๆ ชายทะเลกลับหดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แปลว่า กำลังจะเกิดสึนามิ คุณต้องรีบวิ่งหนีจากชายฝั่ง เอาตัวรอดให้เร็วที่สุด แบบนี้ เท่ากับคุณรู้จักธรรมชาติของคลื่น นับเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ อยากรู้จักมันหรือยัง? คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น ไม่ลงรายละเอียดมากนัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั