กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ iammrmessenger

บทความ

🤔  เชื่อว่าเป็นกันแทบทุกคนในโ ลกนะครับ เรามักจะเอาตัวเราเป็นจุดศู นย์กลางในโลกใบนี้ ใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน แล้วก็เอาตัวเองไปเปรียบเที ยบกับคนอื่นว่า เราดีหรือแย่แค่ไหน เมื่อเทียบกับเขา ✅ ❎ ⏪ แถมตั้งแต่อดีตที่เป็นมา มนุษย์เราก็เลือกยกย่องคนที่ มีจุดเด่น คนที่สามารถนำหน้าคนอื่นได้ ในเรื่องที่ตัวเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ นักกีฬา นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี อันนี้ไม่ได้จะว่ากันนะ คนดี คนเก่ง เราต้ องยกย่องชมเชย ให้เขาได้มีที่ยืนที่สง่างา มในสังคม เพื่อสร้างแรงบรรดาลใจ และชี้ทางเดินให้กับคนที่อยู่ ข้างหลัง 🎊 ⚽ นักฟุตบอลระดับโลกในยุคสมัย นี้ ก็ได้แรงบรรดาลใจมาจากอัฉริ ยะในโลกลูกหนังสมัยก่อน  💰 นักลงทุนที่พอร์ตโตวันโตคืน ในวันนี้ ก็ได้ใช้คำแนะนำและได้รับอิ ทธิพลจากแนวคิดของนักลงทุนใ นรุ่นก่อนๆ เป็นแบบนี้ในแทบทุกวงการครั บ แต่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเดินตา มรอยคนไม่กี่คนที่อยู่บนหน้ าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นได้ 📰 คุณเคยน้อยเนื้อต่ำใจในความ เป็นตัวคุณเองบ้างไหม? ยอมรับมาซะดีๆว่าทุกคนล้วนมี บางสิ่งในตัวที่เรารู้สึกไ ม่พอใจ แต่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะปรั บมันยังไง สิ่ง
Warren Buffett ได้ตั้งกฎการลงทุนไว้เป็นเหมือนลายแทงให้พวกเราเดินตาม กฎที่ว่านั้น ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน กฎข้อที่หนึ่ง จงอย่าขาดทุน กฎข้อที่สอง อย่าลืมกฎข้อแรก หลักการของ Warren Buffett แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนคือ ปกป้องเงินต้นของคุณให้ได้ เพราะเมื่อปกป้องมันไว้ได้ คุณก็จะมีเงินไว้คอยหาหุ้น หาสินทรัพย์เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อคุณอยู่ในตลาดหุ้นได้นานขึ้น มีชีวิตรอดในตลาดยืนยาวขึ้น ก็เท่ากับคุณจะเจอโอกาสในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งหมายถึง กำไรที่จะได้มาในที่สุด ในมุมของการลงทุน กูรูหลายๆท่านมองว่า มันเป็นเรื่องของ โอกาส กับการใช้มันให้เกิดประโยชน์ ยิ่งอยู่ในตลาดได้นานพอ เราก็จะเห็นโอกาสมากขึ้น เมื่อเห็นโอกาสมากๆพอ เราจะรู้ว่า โอกาสไหนควรเสี่ยง โอกาสไหนไม่ควรเสี่ยง ดังนั้น จงอย่าขาดทุน จะเห็นว่า ด้วยกฎอันนี้ ความหมายของมันลึกซึ้งมากนะครับ แต่เพื่ออธิบายให้ชัดเจนขึ้น ผมขอยกตัวอย่างการขาดทุนจากการลงทุน และโอกาสในการทำกำไรกลับคืนมา ให้เราได้เห็นกันว่า เวลาขาดทุน สิ่งที่ตามมาคืออะไร จากตัวอย่างข้างต้น จากเงินต้น 100 บาท ถ้าคุณขาดทุน 10% เหลือเงินล
  อยู่ในตลาดมาซักระยะ คุณจะสามารถแบ่งประเภทของหุ้นได้หลากหลาย แล้วแต่ว่าจะแบ่งแบบไหน แบบหนึ่งที่ผมแบ่งได้ ก็คือ การแบ่งตามคุณภาพ คุณอยู่ภาพของอะไร? ผมดู 2 มุมครับ คุณภาพของพื้นฐาน และคุณภาพทางเทคนิค ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว ก็ได้หุ้น 4 ประเภทดังนี้ จากภาพ ในฐานะที่ผู้อ่านก็เป็นนักลงทุนเหมือนกันกับผม คุณจะเลือกหุ้นที่อยู่ในกล่องไหน? คำตอบที่ทุกคนตอบก็คือ ถ้าเลือกได้ ก็ขอเลือกกล่องสีเขียว นั้นก็คือ  พื้นฐานดี  +  กราฟสวย นั้นเอง พื้นฐานดี ดียังไง กราฟสวย สวยยังไง ไม่ขอเอ่ยถึงในบทความตอนนี้นะครับ เพราะนิยามของคำว่าดีแต่ละคนอาจจะมีแตกต่างในรายละเอียด เอาเป็นว่า พื้นฐานดี กราฟสวย ในสายตาของแต่ละคนก็แล้วกัน กล่องที่ไม่มีใครเลือกลงทุนแน่ๆหากวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นแล้ว ก็คือ กล่องสีแดง หรือ พื้นฐานห่วย + กราฟไม่สวย อันนี้ก็เห็นตรงกันนะ หากคุณลองแบ่งหุ้น แบ่งกองทุน หรือ หลักทรัพย์อะไรก็แล้วแต่ตามคุณภาพของพื้นฐานและกราฟเทคนิค หุ้นจะตกอยู่ใน 4 ประเภทนี้ไม่นี้ไปไหน และถ้าเจอกล่องสีเขียว คุณก็จะกด Favorite หรือเอาไว้ใน Watchlist ทันที บางทีก็เคาะซื้อเลยด้วยซ้ำ แต่ในโลกความเป็นจริง