หลักสำคัญเทรดเดอร์ = 3M

หลักการของ 3M ประกอบไปด้วย Mind Set , Money Management , Method ไล่เรียงตามลำดับการให้ความสำคัญกันไป แล้วแต่เทรดเดอร์ท่านไหนจะให้เปอร์เซนต์แต่งต่างกันขนาดไหน ส่วนตัวผมให้ Mind Set 60% Money Management 30% Method 10%
สำหรับอาชีพเทรดเดอร์พึงเสมอครับว่า " รักษาทุนให้ได้ อยู่รอดในตลาดให้ได้ก่อน แล้วกำไรจะตามมา" ข้อความสุดClassicไร้กาลเวลา

Mind Set กล่าวถึงจิตวิทยาการเทรด ทัศนคติในการเทรด ไม่หวั่นไหวกับหลุมพรางทางจิตวิทยาที่จะทำให้ขาดทุน ผมแนะนำ Mind Set ที่อยู่ในหนังสือตามนี้ครับ 
จากหนังสือ “A trader’s money management system”ได้มีการกล่าวถึง “Mind set” ที่ดีของเทรดเดอร์ไว้ดังนี้ 
1. ไม่เอาเงินมาเป็นที่ตั้ง (Not caring about the money)
2. 
ยอมรับความเสี่ยงในการเทรดหรือลงทุนได้ (Acceptance of the risk in trading and investing)
3. 
ไม่ว่าเทรดได้หรือเสียก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ (Winning and losing trades accepted equally from an emotional standpoint)
4. 
สนุกกับการเทรด (Enjoyment of the process)
5. 
ไม่คิดว่าเรากำลังเป็นเหยื่อของตลาด (No feeling of being victimized by the markets)
6. 
พัฒนาทักษะการเทรดอยู่เสมอ (Always looking to improve skills)
7. 
ถ้าได้กำไรจากการเทรด ให้มองเป็นการพัฒนาของ ทักษะในการเทรด” (Trading and investing account profits now accumulating and flowing in as skills improve)
8. 
เปิดใจรับฟังความเห็นของคนอื่นบ้าง (Open minded; keeping opinions to a minimum)
9. 
ไม่โกรธ ไม่โทษตลาด (No anger)
10. 
เรียนรู้จากทุกการเข้า,ออก position (Learning from every trade or position)
11. 
เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะตลาดเสมอ (No need to conquer or control the market)
12. 
รู้สึกมีความมั่นใจในการเทรด (Feeling confident and feeling in control)
13. 
เราไม่สามารถกำหนดทิศทางของตลาดได้ (A sense of not forcing the markets)
14. 
รับผิดชอบในทุกๆการเทรดว่าเป็นเพราะตัวเราเอง (Taking full responsibility for all trading results)
15. 
มีจิตใจสงบ ไม่ว้าวุ่น ระหว่างการเทรด (Sense of calmness when trading)
16. 
ให้ความสนใจสิ่งที่เห็น ณ ปัจจุบันเท่านั้น (Ability to focus on the present reality)
17. 
ไม่ต้องคาดเดาตลาด ว่ามันจะ Break หรือเคลื่อนที่ไปทางไหน (Not caring which way the market breaks or moves)
Credit…Traveller’s trade
Money Management (MM) อ้างอิงถึงการที่คุณจะจัดการกับเงินทุนที่มีในพอร์ทอย่างไร คือ การจัดสรร การวางแผนการใช้เงินทุนอย่างเป็นระบบ คุณจะใช้เงินจากหน้าตักคุณกี่%ในการออกออเดอร์ในแต่ละครั้ง และพร้อมรับการขาดทุนที่เท่าไหร่ และหากพอร์ทมีการขาดทุนเสียหาย คุณจะจัดการอย่างไรต่อไป อันนี้ประสพการณ์จำเป็นมาก แน่นอนตอนนี้คุณอาจยังไม่มีประสพการณ์ในตอนนี้ ก็ให้พึ่งคำนี้ครับ
"Stop Loss" คำนี้สำคัญครับ คือการปิดการขาดทุนที่เราตั้งไว้ในใจ เก็บใส่ไว้ในระบบของเรา ในการออกออเดอร์แต่ละครั้งคำว่า "ตั้ง Stop Loss" เป็นสิ่งที่ควรต้องออกมาคู่กัน ราวกับว่าคุณจะไม่ยอมขับรถออกจากบ้านเด็ดขาดหากเบรครถคุณเสีย Stop Loss เป็นสิ่งที่ต้องย้ำเตือนเทรดเดอร์หน้าใหม่ๆเสมอ ผมเป็นก็คนนึงที่ช่วงเทรดแรกๆดื้อ ออกอารมณ์ไม่ขายไม่ขาดทุน , เดี๊ยวมันก็กลับมาทางเรา , Hedgingไว้ก่อนเด่วว่ากัน ไม่แปลกหรอกครับที่ส่วนใหญ่จะมีทัศนคติแบบนี้ เวลาจะสอนคุณเองครับ แต่หากไม่อยากจะเสียเวลา "ตั้งStop Loss"เถอะครับ เพราะถ้าคุณไม่ตั้งStop Lossในใจ โดยคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ช่วงนี้แหละครับจะเป็นช่วงที่ลุ้น เหนื่อยใจ และถ้าสุดท้ายสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องปล่อยเธอเดินจากไป "Cut Loss" ในที่สุด ทั้งนี้การตั้งจุด Stop Loss ของแต่ละท่านอาจแตกต่างกันออกไป บางท่านตั้ง20-30pips ส่วนตัวผมคำนึงถึงจุดที่เราจะเข้า จากนั้นวิเคราะห์ไปที่กราฟว่าแนวรับแนวต้านไหนที่มีนัยยะที่ควร Stop Loss ครับ โดยทั่วไปสัดส่วน Profitต่อLoss ควรอยู่ที่ 3:1 ครับ จากอัตราส่วนดังกล่าวลองคิดเล่นๆดู Ex.คุณออก 10 ออเดอร์ Win แค่ 4 : Loss แพ้ 6 = 12(3x4) : 6(1x6) ฉนั้นคุณยังมีกำไรอยู่ที่่ 6 ถูกไหม :>  
เมื่อคุณขาดทุน ทุนในพอร์ทลดลงไป แน่นอนว่าคุณต้องวางแผนใหม่ในการออกออเดอร์ ดังภาพเป็นชาร์ทแสดงให้เห็นอัตราส่วนคร่าวๆที่น่าสนใจ Draw Down และ Risk Ratio ควรจำเป็น Guide Line ครับ
    
สำหรับตลาด FOREX คำนวณง่ายๆโดยการเอา 10,000 หาร เงินทุนคุณ = Lot Size ที่เหมาะสม<ตามที่สั่งสอนกันมา>
Ex. คุณมีเงินตั้งต้นในพอร์ท 1000$ หารด้วย 10,000 = Lot 0.1(1$)  คุณจะออกออเดอร์อย่างไรก็ได้แต่ไม่ควรเกิน 0.1 เช่น 0.1 , 0.02+0.04+0.02=0.1 , 0.02+0.08=0.1 <ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดว่าบัญชีของคุณเป็นแบบไหน> 
***จากประสพการณ์จริงส่วนใหญ่ Over Lot กันเยอะครับ มากน้อยก็ว่ากันไป MM พูดง่ายแต่ทำจริงยาก(มั๊ง) ส่วนตัวผมจะดูหน้างานซะมากกว่า และมีการตั้ง Stop Loss ในออเดอร์นั้นๆ เพราะบางครั้งจังหวะให้ และก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละท่านครับ ทั้งนี้อยู่ที่ระดับการจัดการความเสี่ยง Risky  Management ของแต่ละคน ในบริษัทการเงินการลงทุนใหญ่ๆระดับโลกหลายแห่ง ไครมีทักษะตรงนี้โอกาสในการก้าวหน้าสูงมากครับ บางแห่งใช้ประวัติการณ์การเล่นPokerดีๆ แนบไปในโพรไฟล์สมัครงาน มีโอกาสสูงว่าได้งานครับ เพราะถือว่าคนเหล่านั้นสามารถบริหารความเสี่ยงเก่งภายใต้ความความผันผวนของตลาดและภาวะความกดดันสูงๆ
Method ก็คือวิธีการ ความรู้ทางเทคนิคต่างๆ เครื่องไม้เครื่องมือที่เราใช้ในการเทรด เช่น กราฟแพทเทิร์น การอ่านค่าอินดิเคเตอร์ การดูราคา การสังเกตvolume  Entry & Exit  การใช้ Platform , indicatorใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลา , EAที่ขายกันตามอินเตอร์เนต ....Etc  
Method มีอยู่มากมาย มีมาให้เรียนรู้ได้อะไรใหม่ๆทุกวัน หาอ่านได้ทั้งหนังสือและตามเว็บ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆมีให้ดาวน์โหลดเสมอ ศึกษาแล้วนำมาปรับใช้ให้เป็นระบบหรือกลยุทธ์ในสไตล์ของเราเอง เช่น ทางเทคนิค เมื่อกราฟเข้าเงื่อนไขที่เราตั้งไว้จนครบ เราก็จะเปิดหรือปิด position ไป
*** ในโลกของการเทรด เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะเข้ามาที่ Method ก่อนเสมอ เพราะเป็นอะไรที่เห็นภาพ ผมเองก็เป็น ส่วนตัวผมว่าไม่แปลกครับ มาพร้อมๆกับ MM แล้ว Mind Set ถึงตามมา ก็ว่ากันไป  เพราะ Mind Set ก่อเกิดจากประสพการณ์ ทัศนคติที่หล่อหลอม เวลา และการเรียนรู้ที่ตลาดให้แก่เทรดเดอร์ การที่จะโยนหนังสือ Mind Set ให้อ่านแล้วให้ปรับความรู้สึกตาม ผมว่า Day Dream นะ เป็นได้แค่ GuideLine ***   แต่สุดท้ายมันควรต้องไปด้วยกัน






Credit:www.bangkokforex.com/

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ