การเลือกโบรคเกอร์

การเลือกโบรคเกอร์
เราต่างก็รู้จัก Forex  กันดีพอสมควรอยู่แล้ว และอย่างที่เรารู้กันดีอยู่ว่า เราไม่สามารถเทรดในตลาด Forex ได้ถ้าไม่มีโบรคเกอร์ และแน่นนอนว่าเราคงอยากเทรดกับโบรคเกอร์ดีๆ ที่สามารถให้บริการได้ตรงกับความต้องการของเรา ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาให้ดีก่อนที่จะเลือกเทรดกับโบรคเกอร์ซักแห่ง แต่ก่อนที่จะเลือกโบรคเกอร์ซักแห่งก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับความเป็นมาคร่าวๆ และประเภทของโบรคเกอร์กันก่อนดีกว่า
ความเป็นมาของเทรดเดอร์รายย่อยในตลาด Forex
เมื่อลองย้อนกลับไม่เมื่อยุค 90 การเข้ามาเทรดในตลาด Forex นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่สูงมาก ผู้ที่จะเข้ามาเทรดในตลาดแห่งนี้ได้นั้นจะมีเฉพาะมหาเศรษฐีที่มีเงิน ห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาเทรดส่วนใหญ่จึงเป็นพวกสถาบันการเงิน หรือบริษัทใหญ่ๆเท่านั้น ในช่วงนั้นรัฐบาลเข้มงวดมากในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
และหลังจากนั้น  CFTC (Commodity Futures Trading Commission หรือ คณะกรรมการกากับดูแลตลาดอนุพันธ์ของสหรัฐฯ) ได้เปิดทางให้มีพระราชบัญญัติใหม่ขึ้น 2 ฉบับ คือ Commodity Exchange และ  Commodity Futures Modernization และนั่นก็เป็นการเปิดประตูให้แก่โบรคเกอร์ Forex ออนไลน์ และเมื่อการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ที่สามารถทำให้เราสามารถเข้าถึงเว็บทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย การเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ Forex เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย และเมื่อการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทกับสังคมเรามากขึ้น โบรคเกอร์ Forex ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น จนมาถึงตอนนี้เรามีโบรคเกอร์ให้เลือกแบบนับไม่ถ้วน เพราะผลประโยชน์ในตลาดนั้นมีให้เก็บเกี่ยวกันอย่างมหาศาล คุณลองจินตนาการดูว่า แค่ค่า Spread เพียงไม่กี่จุดต่อการเปิดออเดอร์แต่ละครั้งก็ปาไปเท่าไหร่แล้วล่ะ คนนึงเปิดกันวันละกี่ออเดอร์ แล้วคนกี่คนล่ะ ?  โอวววว คิดแค่นี้ก็เห็นแล้วว่ามันเป็นเงินหาศาล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่โบรคเกอร์จะพยายามทำให้ตนเองมีลูกค้ามากที่สุด ต่างก็มีโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจมาเสนอเป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากมาย และเป็นการยากพอดูที่จะแยกให้ออกว่าโบรคเกอร์ไหนดีและโบรคไหนที่ไม่ดี โดยเฉพาะกับเทรดเดอร์ใหม่ๆที่ประสบการณ์ยังน้อย มักจะโดนหลอกได้ง่ายๆ ด้วยโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ จริงมั้ย ?

สิ่งสำคัญ 6 ประการในการเลือกโบรคเกอร์
1. ความปลอดภัย
อันดับแรกเลยก็คือ โบรคเกอร์ที่ดีจะต้องมีความปลอดภัยสูง เพราะเราคงไม่อยากเอาเงินของเราไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นเราจึงต้องเช็คความน่าเชื่อถือของโบรคก่อนเป็นอันดับแรก เราสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโบรคเกอร์ได้โดยง่ายดาย เพราะมีหน่วยงานที่กับกำดูแลกระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นเราจึงต้องดูก่อนว่าโบรคเกอร์ต่างๆเหล่านั้นได้รับการจดทะเบียนเป็นสมาชิกกับองค์กรเหล่านั้นหรือไม่ และต่อไปนี้คือรายชื่อองค์กรที่ดูแลในแต่ละประเทศ
  • สหรัฐอเมริกา : National Futures Association (NFA)  และ  Commodity Futures Trading Commission (CFTC)
  • อังกฤษ : Financial Services Authority (FSA)
  • ออสเตรเลีย : Australian Securities and Investment Commission (ASIC)
  • สวิสเซอร์แลนด์ : Swiss Federal Banking Commission (SFBC)
  • เยอรมัน : Bundesanstalt für Finanzdienstleistungsaufsicht (BaFIN)
  • ฝรั่งเศส : Autorité des Marchés Financiers (AMF)

2. ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม
ในทุกๆครั้งที่เราเปิดออเดอร์ ไม่ว่าจะซื้อ หรือ ขาย จะได้กำไรหรือขาดทุน เราก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม นั่นก็คือ"ค่าสเปรด" หรือ ค่า "คอมมิสชั่น" นั่นเอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปรกติที่เราจะต้องเลือกโบรคเกอร์ที่เรียกเก็บค่าการทำธุรกรรมที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป แต่มีความน่าเชื่อถือสูง

3. การฝากและถอนเงิน
โบรคเกอร์ที่ดีจะต้องมีระบบฝากถอนเงินที่ดี สามารถให้คุณฝากและถอนเงินได้อย่างอิสระ จะฝากหรือถอนตอนไหนก็ได้ เพราะโบรคเกอร์ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องทำให้การถอนเงินของคุณเป็นเรื่องยาก เพราะเหตุผลเดียวที่พวกเขาถือเงินของคุณไว้คือ "อำนวยความสะดวกในการซื้อขาย" ดังนั้นคุณควรจะแน่ใจได้ว่า เมื่อเวลาใดก็ตามที่คุณต้องการถอนเงิน คุณจะถอนได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ไม่มีปัญหาใดๆ

4. โปรแกรมเทรด
ในการเทรดออนไลน์ ส่วนใหญ่เราก็จะเทรดผ่านโปรแกรมเทรดของทางโบรคเกอร์ (ส่วนมากที่ใช้กันอยู่ก็คือ MT4) ซึ่งเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ระบบการซื้อขายของโบรกเกอร์ของคุณจะต้องใช้งานง่ายและมีเสถียรภาพ ดังนั้นเมื่อเราเลือกโบรคเกอร์ก็ต้องตรวจสอบด้วยว่า โปรแกรมเทรดของโบรคเกอร์นั้นมีอะไรให้เราบ้าง เช่น มีฟีดข่าวให้ใช้ฟรี มีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆให้หรือเปล่า มีรูปแบบชาร์ตอะไรให้เราบ้าง แล้วที่มีให้นี้มันเพียงพอกับความต้องการของคุณหรือเปล่า

5. ความรวดเร็วการดำเนินการซื้อ-ขาย
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ โบรคเกอร์ที่ดีควรจะมีระบบการดำเนินงานที่รวดเร็ว ทำให้คุณได้ราคาที่ดีในการซื้อขาย ภายใต้สภาพปรกติของตลาด ซึ่ง หมายถึงในช่วงเวลาที่ไม่มีข่าวอะไรมาทำให้ตลาดตกใจ เพราะมันไม่มีเหตุผลที่โบรคเกอร์จะไม่เปิดออเดอร์ของคุณต้องการ หรือ ในราคาตลาดที่ใกล้เคียงกับที่คุณต้องการ 
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณใช้นั้นมีเสถียรภาพดีอยู่แล้ว และถ้าคุณคลิก "ซื้อ" EUR / USD ที่ 1.3000 สำหรับคุณควรจะได้รับในราคานั้น หรือไม่ก็ต่างไปเล็กน้อย แต่ควรจะอยู่ใน pips ไมโครของมัน ( ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นได้ชัด เช่น ถ้าเป็นโบรค 5 จุด เมื่อคุณเปิดซื้อ ที่ราคา 1.30000 ก็ควรจะอยู่ที่ระหว่าง 1.30001-1.30009 แต่ไม่ควรต่างกันมากกว่านี้ ) เพราะความเร็วในการรับคำสั่งซื้อของคุณนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณ Scalper

6 . การบริการลูกค้า
เพราะไม่มีโบรกเกอร์ไหนที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกโบรกเกอร์ที่คุณสามารถจะติดต่อได้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น โบรคเกอร์ที่ดีควรที่จะสามารถรับมือกับปริมาณของบัญชีลูกค้าทีมีจำนวนมาก หรือ สามารถจัดการกับปัญหาการให้บริการทางเทคนิคได้ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าเกิดปัญหาทางระบบเทคนิค ระบบเซอร์ฟเวอร์ของโบรคเกอร์เกิดขัดข้องขึ้นมา ระบบเทรดค้าง เนื่องจากเพิ่งมีประกาศข่าวสำคัญมากออกมา ทำให้มีปริมาณการซื้อขายเข้ามาก และในขณะที่ราคากำลังวิ่งอย่างรุนแรงนั้นคุณก็มีออเดอร์ที่เปิดค้างไว้ ถ้าเป็นแบบนี้ คุณคงไม่ชอบแน่ๆ  
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น โบรคเกอร์ควรจะยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าจะยินดีช่วยเฉพาะในขั้นตอนการเปิดบัญชี แต่ไม่สนใจใยดีเมื่อคุณเกิดมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ

ความคิดเห็น

เรื่องราวที่น่าสนใจ